อสังหาฯไม่หวั่นคลังโปรยยาหอมยืดอายุมาตรการภาษีรอบ 3 อาจส่งผลคนไม่เร่งซื้อบ้าน ขู่ซื้อบ้านปีหน้าแพงขึ้นแน่ 7% เหตุวัสดุแห่ขึ้นราคา แถมดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับขึ้นอีก 0.75%ในช่วงต้นปี 53 ด้านบสก.ระบุไม่เร็วเกินไปที่จะประกาศ พร้อมไม่หวั่นกระทบยอดขาย เหตุได้รับยกเว้นภาษีโอนอยู่แล้ว
เมื่อรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ โปรยยาหอมให้แก่ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในงานสัมมนาแห่งหนึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า หากเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้น รัฐบาลพร้อมที่จะต่อมาตรการลดภาษีอสังหาฯต่อไปอีก 1 ปี ซึ่งถือเป็นปีที่ 3 แม้ว่าจะเป็นข่าวดีของภาคธุรกิจอสังหาฯทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย แต่ก็ยังมีคำถามตามมาอีกว่า เมื่อรัฐบาลส่งสัญญาณว่าจะต่ออายุมาตรการภาษีออกไปอีก แล้วที่ผู้ประกอบการต่างใช้จุดขายให้ประชาชนเร่งซื้อบ้านก่อนวันที่ 28 มีนาคม 53 ที่มาตรการจะหมดอายุลง เพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายเพิ่มอีกกว่า 4% จะยังได้ผลอยู่หรือไม่ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการหลายราย ต่างคาดหวังว่าประชาชนจะเร่งซื้อบ้านในช่วง 4 เดือนสุดท้ายไปจนถึงวันที่ 28 มี.ค.53 และถือเป็นช่วงที่จะโกยยอดขายกันอย่างเต็มที่
นายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า แม้ว่ารัฐบาลจะส่งสัญญาณว่าจะต่ออายุมาตรการลดภาษีอสังหาฯออกไปอีก 1 ปี หากเศรษฐกิจของไทยยังไม่ฟื้น เชื่อว่าสัญญาณที่กระทรวงการคลังส่งออกมานั้น จะไม่ทำให้ประชาชนที่ต้องการซื้อบ้านอยู่แล้ว ชะลอการตัดสินใจซื้อออกไปอีก หากผู้ที่คิดจะซื้อบ้านเหล่านั้นมีความพร้อม อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักประกันใดๆ ว่ารัฐบาลจะต่ออายุมาตรการออกไปจริงหรือไม่
ส่วนเหตุผลที่ควรจะรีบซื้อบ้านในช่วงนี้ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ระบุว่า การซื้อบ้านในช่วงนี้ ยังเป็นต้นทุนเดิมที่ราคาวัสดุ ค่าก่อสร้างยังไม่ได้มีการปรับขึ้นนับจากต้นปี หรือแม้ว่าราคาวัสดุบางชนิดจะปรับขึ้นไปบ้างแล้ว แต่ผู้ประกอบการยังชะลอการปรับขึ้นราคาไว้ เนื่องจากต้องการระบายสต๊อกสินค้าอยู่ในพอร์ตจำนวนมากออกไป จากการชะลอตัวของตลาดในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ดังนั้นผู้ประกอบการจำเป็นต้องยืนราคาเดิมเอาไว้ บางรายประกาศลดราคาด้วยซ้ำ อีกทั้งยังอัดโปรโมชันมากมายเพื่อกระตุ้นยอดขาย
สำหรับวัสดุสำคัญที่ได้มีการปรับขึ้นราคาไปบ้างแล้ว คือ เหล็ก จากเดิมราคา 16,000 บาท/ตัน เมื่อต้นปี ปัจจุบันมาอยู่ที่ระดับ 19,000-20,000 บาท/ตัน ขึ้นอยู่กับชนิดของเหล็ก วัสดุสำคัญอีกชนิดคือ ปูน ที่ปรับขึ้นมาอย่างน้อย 20% จากเดิมถุงละประมาณ 80 บาทขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 100 บาท/ถุงในปัจจุบัน นอกจากนี้ราคาวัสดุชนิดอื่นเตรียมพาเหรดขึ้นราคาตามแนวโน้มราคาน้ำมัน และภาวะเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้นซึ่งจะทำให้มีความต้องการเพิ่ม ส่วนในไทยเองยังมีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าอีกหลายสาย ทำให้ความต้องการใช้วัสดุมีเพิ่มขึ้น สาเหตุดังลก่าวจะมีส่วนผลักดันให้ราคาปรับขึ้น สุดท้ายต้นทุนก่อสร้างบ้านในปีหน้าคาดว่าจะปรับขึ้นอีกประมาณ 5-7%
นอกจากนี้ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้ส่งสัญญาณออกมาแล้วว่า แนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของไทยมีโอกาสปรับขึ้นในช่วงไตรมาส 2 จากที่ปัจจุบันอยู่ในระดับ 1.25% ขณะที่นายแบงก์ระบุว่าดอกเบี้ยมีโอกาสปรับขึ้นอีกประมาณ 0.75% ในช่วงไตรมาส 1/53 มาอยู่ที่ระดับ 2% ซึ่งจะส่งผลให้ยอดผ่อนชำระสินเชื่อบ้านเพิ่มขึ้น โดยทั่วไปทุกๆการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1% จะทำให้ค่าผ่อนชำระสินเชื่อบ้านเพิ่มขึ้น 6-7%
สุดท้ายแล้ว ผู้ประกอบการต่างพูดเป็นเสียงเดียวว่า หากซื้อบ้านในปีหน้าราคาอาจจะปรับขึ้นไปถึง 7% ถ้าไม่นับรวมสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจากการลดหย่อนภาษีตามมาตรการรัฐที่จะได้รับประมาณ 3-4%
เมื่อรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ โปรยยาหอมให้แก่ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในงานสัมมนาแห่งหนึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า หากเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้น รัฐบาลพร้อมที่จะต่อมาตรการลดภาษีอสังหาฯต่อไปอีก 1 ปี ซึ่งถือเป็นปีที่ 3 แม้ว่าจะเป็นข่าวดีของภาคธุรกิจอสังหาฯทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย แต่ก็ยังมีคำถามตามมาอีกว่า เมื่อรัฐบาลส่งสัญญาณว่าจะต่ออายุมาตรการภาษีออกไปอีก แล้วที่ผู้ประกอบการต่างใช้จุดขายให้ประชาชนเร่งซื้อบ้านก่อนวันที่ 28 มีนาคม 53 ที่มาตรการจะหมดอายุลง เพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายเพิ่มอีกกว่า 4% จะยังได้ผลอยู่หรือไม่ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการหลายราย ต่างคาดหวังว่าประชาชนจะเร่งซื้อบ้านในช่วง 4 เดือนสุดท้ายไปจนถึงวันที่ 28 มี.ค.53 และถือเป็นช่วงที่จะโกยยอดขายกันอย่างเต็มที่
นายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า แม้ว่ารัฐบาลจะส่งสัญญาณว่าจะต่ออายุมาตรการลดภาษีอสังหาฯออกไปอีก 1 ปี หากเศรษฐกิจของไทยยังไม่ฟื้น เชื่อว่าสัญญาณที่กระทรวงการคลังส่งออกมานั้น จะไม่ทำให้ประชาชนที่ต้องการซื้อบ้านอยู่แล้ว ชะลอการตัดสินใจซื้อออกไปอีก หากผู้ที่คิดจะซื้อบ้านเหล่านั้นมีความพร้อม อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักประกันใดๆ ว่ารัฐบาลจะต่ออายุมาตรการออกไปจริงหรือไม่
ส่วนเหตุผลที่ควรจะรีบซื้อบ้านในช่วงนี้ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ระบุว่า การซื้อบ้านในช่วงนี้ ยังเป็นต้นทุนเดิมที่ราคาวัสดุ ค่าก่อสร้างยังไม่ได้มีการปรับขึ้นนับจากต้นปี หรือแม้ว่าราคาวัสดุบางชนิดจะปรับขึ้นไปบ้างแล้ว แต่ผู้ประกอบการยังชะลอการปรับขึ้นราคาไว้ เนื่องจากต้องการระบายสต๊อกสินค้าอยู่ในพอร์ตจำนวนมากออกไป จากการชะลอตัวของตลาดในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ดังนั้นผู้ประกอบการจำเป็นต้องยืนราคาเดิมเอาไว้ บางรายประกาศลดราคาด้วยซ้ำ อีกทั้งยังอัดโปรโมชันมากมายเพื่อกระตุ้นยอดขาย
สำหรับวัสดุสำคัญที่ได้มีการปรับขึ้นราคาไปบ้างแล้ว คือ เหล็ก จากเดิมราคา 16,000 บาท/ตัน เมื่อต้นปี ปัจจุบันมาอยู่ที่ระดับ 19,000-20,000 บาท/ตัน ขึ้นอยู่กับชนิดของเหล็ก วัสดุสำคัญอีกชนิดคือ ปูน ที่ปรับขึ้นมาอย่างน้อย 20% จากเดิมถุงละประมาณ 80 บาทขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 100 บาท/ถุงในปัจจุบัน นอกจากนี้ราคาวัสดุชนิดอื่นเตรียมพาเหรดขึ้นราคาตามแนวโน้มราคาน้ำมัน และภาวะเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้นซึ่งจะทำให้มีความต้องการเพิ่ม ส่วนในไทยเองยังมีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าอีกหลายสาย ทำให้ความต้องการใช้วัสดุมีเพิ่มขึ้น สาเหตุดังลก่าวจะมีส่วนผลักดันให้ราคาปรับขึ้น สุดท้ายต้นทุนก่อสร้างบ้านในปีหน้าคาดว่าจะปรับขึ้นอีกประมาณ 5-7%
นอกจากนี้ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้ส่งสัญญาณออกมาแล้วว่า แนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของไทยมีโอกาสปรับขึ้นในช่วงไตรมาส 2 จากที่ปัจจุบันอยู่ในระดับ 1.25% ขณะที่นายแบงก์ระบุว่าดอกเบี้ยมีโอกาสปรับขึ้นอีกประมาณ 0.75% ในช่วงไตรมาส 1/53 มาอยู่ที่ระดับ 2% ซึ่งจะส่งผลให้ยอดผ่อนชำระสินเชื่อบ้านเพิ่มขึ้น โดยทั่วไปทุกๆการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1% จะทำให้ค่าผ่อนชำระสินเชื่อบ้านเพิ่มขึ้น 6-7%
สุดท้ายแล้ว ผู้ประกอบการต่างพูดเป็นเสียงเดียวว่า หากซื้อบ้านในปีหน้าราคาอาจจะปรับขึ้นไปถึง 7% ถ้าไม่นับรวมสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจากการลดหย่อนภาษีตามมาตรการรัฐที่จะได้รับประมาณ 3-4%