โกลเบล็ก โฮลดิ้ง เตรียมดัน บล.โกลเบล็ก เข้าจดทะเบียนปีหน้า ขณะบริษัทแม่หันมาเน้นขายทองคำ เพื่อให้สามารถยืนได้ เหตุปัจจุบันรายได้หลักพึ่งพาจาก บล.เป็นหลัก หวังปีนี้โกยรายได้จากทองคำ 2.3 พัน ล.แจงราคาทองขึ้นเหตุนักลงทุนกังวลเศรษฐกิจฟื้นจริงหรือไม่ แถมโยกเงินลงทุนบอนด์เพิ่ม
นายภาคภูมิ ภาคย์วิศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GBX เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้จากการขายทองคำแท่งสิ้นปีนี้อยู่ที่ 2,300 ล้านบาท และมีกำไรประมาณ 7-10 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกที่บริษัทมีรายได้ 1,075.3 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากธุรกิจขายทองคำแท่ง 50-60% ส่วนที่เหลือมาจากบริษัทย่อย 3 บริษัท คือ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก บริษัท โกลเบล็ก แอ็ดไวเซอรี่ จำกัด บริษัท เอเซีย อิควิตี้ เวนเจอร์ จำกัด ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก บล.โกลเบล็ก
สำหรับธุรกิจหลักของบริษัทจากนี้ คือ การค้าทองคำแท่ง จากที่ผ่านมาบริษัทไม่มีธุรกิจของตัวเอง แต่เป็นการถือหุ้นในบริษัทย่อย รายได้จะมาจากบริษัทย่อยเท่านั้น และการที่บริษัทปรับแผนการดำเนินธุรกิจยังมีเป้าหมายที่จะนำบริษัทย่อย คือ บล.โกลเบล็ก เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปีหน้า เพราะเมื่อบริษัทย่อยเข้าจดทะเบียนแล้ว โกลเบล็กโฮลดิ้ง สามารถดำเนินธุรกิจด้วยตัวเองได้และควรที่จะมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจมากกว่า 50% ขึ้นไป
“การที่บริษัทหันมาทำธุรกิจหลักคือการค้าขายทองคำแท่ง เพื่อให้ทางบล.โกลเบล็กสามารถเข้าจดทะเบียนได้ จากที่ผ่านมาไม่สามารถเข้าได้ เพราะรายได้ของโกลเบล็กโฮลดิ้ง ส่วนใหญ่มาจาก บล.เราจึงต้องการที่จะมีรายได้หลักของตัวเอง เมื่อ บล.เข้าจดทะเบียนไปแล้ว สามารถอยู่ได้ตัวเอง ขณะนี้บล.โกลเบล็กอยู่ระหว่างหารือกับทาง ก.ล.ต.ว่า จะสามารถเข้าจดทะเบียนได้ปีหน้าหรือไม่” นายภาคภูมิ กล่าว
ทั้งนี้ โกลเบล็กโฮลดิ้ง เริ่มประกอบธุรกิจค้าทองคำแท่ง ภายใต้ชื่อ “GBX” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ถือว่ามีการเติบโตที่ดี โดยช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้จากการขายทองคำเดือนละ 200 ล้านบาท คาดว่า สิ้นเดือนธันวาคมนี้จะเพิ่มขึ้น 30% เพราะรายได้ขายทำคำเดือนละ280-300 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้าจำนวน 500 ราย ซึ่งเป็นร้านทอง นักลงทุนทั่วไป และนักลงทุนรายใหญ่ที่เข้ามาซื้อทองคำแท่งกับบริษัท จากการที่บริษัทติดต่อเองและจากที่ผู้ถือหุ้นใหญ่มีการทำธุรกิจค้าทองคำมานาน
อย่างไรก็ตาม จากการที่บริษัทหันมาค้าทองคำแท่งยังเป็นการสนับสนุนธุรกิจโกลด์ฟิวเจอร์ส ที่นักลงทุนสามารถลงทุนในโกลด์ฟิวเจอร์แล้ว ต้องการผลตอบแทนเป็นทองคำแท่งได้ และทำให้บล.โกลเบล็กมีการให้บริการที่ครบวรกับนักลงทุนไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ อนุพันธ์ กองทุนรวม และทองคำแท่ง เพื่อให้นักลงทุนสามารถนำมาบริหารความเสี่ยงในการลงทุนได้ และทำให้มีผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน
นายภาคภูมิ กล่าวว่า การที่ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นจริงหรือไม่ ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งปกติราคาทองคำจะมีทิศทางการเคลื่อนไหวสวนทางกับหุ้น และการที่ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มเพราะมีนักลงทุนขายหุ้นเพื่อนำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น จากผลตอบแทนตราสารหนี้ของสหรัฐปรับตัวลดลง และที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปสูงแล้ว
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทลงทุนในหุ้นเหลือเพียง 5 ตัว จากที่ผ่านมาได้ตัดขาดทุนในหุ้นออกไป แล้วนำเงินมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการทำธุรกิจหลัก คือ การค้าขายทองคำแท่ง ซึ่งขณะนี้บริษัทยังไม่มีนโยบายจะลงทุนหุ้นเพิ่ม แต่หากอนาคตบริษัทมีกำไรจากการดำเนินธุรกิจหลักและมีเงินสดเหลือจำนวนมากก็จะพิจารณาลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้ฯลฯที่ให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีสูงกว่าเงินฝาก
ทั้งนี้ จากการที่บริษัทย่อยบริษัท เอเซีย อิควิตี้ เวนเจอร์ ซึ่งเป็นบริษัทร่วมลงทุน ขณะนี้มีการลงทุนเพียง 1 บริษัท คือ บริษัท ไซเบอร์แพลนเน็ต อินเตอร์แอคทีฟ ซึ่งถือหุ้นในสัดส่วน 18% และมีแผนที่จะเข้าจดทะเบียในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) โดยคาดว่า อีก 1-2 เดือนจะสรุปว่าจะเข้าจดทะเบียนทันปีนี้หรือไม่
นายภาคภูมิ ภาคย์วิศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GBX เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้จากการขายทองคำแท่งสิ้นปีนี้อยู่ที่ 2,300 ล้านบาท และมีกำไรประมาณ 7-10 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกที่บริษัทมีรายได้ 1,075.3 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากธุรกิจขายทองคำแท่ง 50-60% ส่วนที่เหลือมาจากบริษัทย่อย 3 บริษัท คือ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก บริษัท โกลเบล็ก แอ็ดไวเซอรี่ จำกัด บริษัท เอเซีย อิควิตี้ เวนเจอร์ จำกัด ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก บล.โกลเบล็ก
สำหรับธุรกิจหลักของบริษัทจากนี้ คือ การค้าทองคำแท่ง จากที่ผ่านมาบริษัทไม่มีธุรกิจของตัวเอง แต่เป็นการถือหุ้นในบริษัทย่อย รายได้จะมาจากบริษัทย่อยเท่านั้น และการที่บริษัทปรับแผนการดำเนินธุรกิจยังมีเป้าหมายที่จะนำบริษัทย่อย คือ บล.โกลเบล็ก เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปีหน้า เพราะเมื่อบริษัทย่อยเข้าจดทะเบียนแล้ว โกลเบล็กโฮลดิ้ง สามารถดำเนินธุรกิจด้วยตัวเองได้และควรที่จะมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจมากกว่า 50% ขึ้นไป
“การที่บริษัทหันมาทำธุรกิจหลักคือการค้าขายทองคำแท่ง เพื่อให้ทางบล.โกลเบล็กสามารถเข้าจดทะเบียนได้ จากที่ผ่านมาไม่สามารถเข้าได้ เพราะรายได้ของโกลเบล็กโฮลดิ้ง ส่วนใหญ่มาจาก บล.เราจึงต้องการที่จะมีรายได้หลักของตัวเอง เมื่อ บล.เข้าจดทะเบียนไปแล้ว สามารถอยู่ได้ตัวเอง ขณะนี้บล.โกลเบล็กอยู่ระหว่างหารือกับทาง ก.ล.ต.ว่า จะสามารถเข้าจดทะเบียนได้ปีหน้าหรือไม่” นายภาคภูมิ กล่าว
ทั้งนี้ โกลเบล็กโฮลดิ้ง เริ่มประกอบธุรกิจค้าทองคำแท่ง ภายใต้ชื่อ “GBX” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ถือว่ามีการเติบโตที่ดี โดยช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้จากการขายทองคำเดือนละ 200 ล้านบาท คาดว่า สิ้นเดือนธันวาคมนี้จะเพิ่มขึ้น 30% เพราะรายได้ขายทำคำเดือนละ280-300 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้าจำนวน 500 ราย ซึ่งเป็นร้านทอง นักลงทุนทั่วไป และนักลงทุนรายใหญ่ที่เข้ามาซื้อทองคำแท่งกับบริษัท จากการที่บริษัทติดต่อเองและจากที่ผู้ถือหุ้นใหญ่มีการทำธุรกิจค้าทองคำมานาน
อย่างไรก็ตาม จากการที่บริษัทหันมาค้าทองคำแท่งยังเป็นการสนับสนุนธุรกิจโกลด์ฟิวเจอร์ส ที่นักลงทุนสามารถลงทุนในโกลด์ฟิวเจอร์แล้ว ต้องการผลตอบแทนเป็นทองคำแท่งได้ และทำให้บล.โกลเบล็กมีการให้บริการที่ครบวรกับนักลงทุนไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ อนุพันธ์ กองทุนรวม และทองคำแท่ง เพื่อให้นักลงทุนสามารถนำมาบริหารความเสี่ยงในการลงทุนได้ และทำให้มีผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน
นายภาคภูมิ กล่าวว่า การที่ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นจริงหรือไม่ ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งปกติราคาทองคำจะมีทิศทางการเคลื่อนไหวสวนทางกับหุ้น และการที่ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มเพราะมีนักลงทุนขายหุ้นเพื่อนำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น จากผลตอบแทนตราสารหนี้ของสหรัฐปรับตัวลดลง และที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปสูงแล้ว
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทลงทุนในหุ้นเหลือเพียง 5 ตัว จากที่ผ่านมาได้ตัดขาดทุนในหุ้นออกไป แล้วนำเงินมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการทำธุรกิจหลัก คือ การค้าขายทองคำแท่ง ซึ่งขณะนี้บริษัทยังไม่มีนโยบายจะลงทุนหุ้นเพิ่ม แต่หากอนาคตบริษัทมีกำไรจากการดำเนินธุรกิจหลักและมีเงินสดเหลือจำนวนมากก็จะพิจารณาลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้ฯลฯที่ให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีสูงกว่าเงินฝาก
ทั้งนี้ จากการที่บริษัทย่อยบริษัท เอเซีย อิควิตี้ เวนเจอร์ ซึ่งเป็นบริษัทร่วมลงทุน ขณะนี้มีการลงทุนเพียง 1 บริษัท คือ บริษัท ไซเบอร์แพลนเน็ต อินเตอร์แอคทีฟ ซึ่งถือหุ้นในสัดส่วน 18% และมีแผนที่จะเข้าจดทะเบียในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) โดยคาดว่า อีก 1-2 เดือนจะสรุปว่าจะเข้าจดทะเบียนทันปีนี้หรือไม่