“วนชัย” ระบุตลาดพื้นลามิเนตโตสวนกระแส ประกาศปรับเป้ารายได้เพิ่มเป็น 1,400 ล้านบาท จากเดิมประมาณการตลาดหดตัว 20% แจง 6 เดือนแรกยอดขายโต 10% คาดทั้งปียอดขายโต 15% หลังรับอานิสงค์โครงการเก่าปี 51 กลับมาสร้างต่อ เตรียมแผนรับมือปี 53 เพิ่มสัดส่วนส่งออกหากตลาดซบ
นายสิทธิวัฒน์ สหวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท วนชัย กรุ๊ป กล่าวว่า ตลาดรวมพื้นไม้ลามิเนตในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาถือว่าปรับตัวดีเกินคาด เนื่องจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อและการใช้จ่ายทุกอย่าง ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หยุดการพัฒนาโครงการใหม่ ส่งผลให้ตลาดรวมพื้นไม้ลามิเนตหดตัวลงอย่างหนัก จากภาวะดังกล่าวทำให้ยอดสั่งซื้อสินค้าของบริษัทลดลงทันที 30% ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 51
ในปีนี้บริษัทเชื่อว่าตลาดรวมจะได้รับผลกระทบอย่างหนักโดยประมาณการว่าตลาดรวมจะหดตัวลงไม่ต่ำกว่า 10-20% โดยในส่วนของบริษัทนั้นคาดว่ายอดขายจะลดลงกว่า 20% จากปี 51 ซึ่งมีอยู่ 1,200 ล้านบาท อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาตลาดพื้นไม้ลามิเนตกลับขยายสวนกระแสตลาด เพราะโครงการที่หยุด และชะลอการก่อสร้างในช่วงปลายปีที่แล้วมีการกลับมาก่อสร้างต่อ ทำให้มียอดการสั่งซื้อเข้ามาจำนวนมากส่งผลให้ในครึ่งปีแรกบริษัทมีอัตราการเติบโตของยอดขายเพิ่มขึ้นจากปี 51 กว่า 10% และในช่วง 2 เดือนแรกของครึ่งปีหลังนี้บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกอีก 5% ทำให้บริษัทต้องปรับประมาณการรายได้ใหม่จากเดิมที่คาดว่าจะมียอดขาย 1,000 ล้านบาทเป็น 1,400 ล้านบาท หรือขยายตัวเพิ่มจากปีที่แล้ว 15%
“จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทำให้บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 40% ของตลาดรวม ถือว่าครองส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่ง สำหรับตลาดรวมพื้นไม้ลามิเนต 2.5-3 ล้านตารางเมตร ส่วนปี 53 ตั้งเป้าว่าจะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มเป็น 50% ปัจจุบันบริษัทใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 50% ของกำลังการผลิตรวมที่มีอยู่ประมาณ 4 ล้านตร.ม.”
นายสิทธิวัฒน์ กล่าวว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้าส่งออก 60% และตลาดในประเทศ 40% จากยอดขาย 1,400 ล้านบาท โดยยอดขายในประเทศจะมาจากการรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) 70% และการจำหน่ายในแบรนด์ “วนธัวร์” 30% โดยเป็นการขายผ่านตัวแทนจำหน่ายที่มีอยู่ 30 รายทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตามในปีหน้ายังมีภาวะที่น่าเป็นห่วง คือ การขยายตัวของตลาด เนื่องจากในปีนี้มีโครงการเกิดใหม่ไม่มากอาจทำให้ตลาดไม่ขยายตัว นอกจากนี้ยังมีปัญหาภาวะการเมืองด้วย ดังนั้นบริษัทจึงเตรียมแผนรับมือด้วยการขยายตลาดส่งออกเพิ่ม โดยตลาดที่น่าสนใจคือสหรัฐอเมริกา แต่ต้องมีปรับปรุงคุณภาพและรูปแบบสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าก่อน
นายสิทธิวัฒน์ สหวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท วนชัย กรุ๊ป กล่าวว่า ตลาดรวมพื้นไม้ลามิเนตในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาถือว่าปรับตัวดีเกินคาด เนื่องจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อและการใช้จ่ายทุกอย่าง ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หยุดการพัฒนาโครงการใหม่ ส่งผลให้ตลาดรวมพื้นไม้ลามิเนตหดตัวลงอย่างหนัก จากภาวะดังกล่าวทำให้ยอดสั่งซื้อสินค้าของบริษัทลดลงทันที 30% ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 51
ในปีนี้บริษัทเชื่อว่าตลาดรวมจะได้รับผลกระทบอย่างหนักโดยประมาณการว่าตลาดรวมจะหดตัวลงไม่ต่ำกว่า 10-20% โดยในส่วนของบริษัทนั้นคาดว่ายอดขายจะลดลงกว่า 20% จากปี 51 ซึ่งมีอยู่ 1,200 ล้านบาท อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาตลาดพื้นไม้ลามิเนตกลับขยายสวนกระแสตลาด เพราะโครงการที่หยุด และชะลอการก่อสร้างในช่วงปลายปีที่แล้วมีการกลับมาก่อสร้างต่อ ทำให้มียอดการสั่งซื้อเข้ามาจำนวนมากส่งผลให้ในครึ่งปีแรกบริษัทมีอัตราการเติบโตของยอดขายเพิ่มขึ้นจากปี 51 กว่า 10% และในช่วง 2 เดือนแรกของครึ่งปีหลังนี้บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกอีก 5% ทำให้บริษัทต้องปรับประมาณการรายได้ใหม่จากเดิมที่คาดว่าจะมียอดขาย 1,000 ล้านบาทเป็น 1,400 ล้านบาท หรือขยายตัวเพิ่มจากปีที่แล้ว 15%
“จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทำให้บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 40% ของตลาดรวม ถือว่าครองส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่ง สำหรับตลาดรวมพื้นไม้ลามิเนต 2.5-3 ล้านตารางเมตร ส่วนปี 53 ตั้งเป้าว่าจะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มเป็น 50% ปัจจุบันบริษัทใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 50% ของกำลังการผลิตรวมที่มีอยู่ประมาณ 4 ล้านตร.ม.”
นายสิทธิวัฒน์ กล่าวว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้าส่งออก 60% และตลาดในประเทศ 40% จากยอดขาย 1,400 ล้านบาท โดยยอดขายในประเทศจะมาจากการรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) 70% และการจำหน่ายในแบรนด์ “วนธัวร์” 30% โดยเป็นการขายผ่านตัวแทนจำหน่ายที่มีอยู่ 30 รายทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตามในปีหน้ายังมีภาวะที่น่าเป็นห่วง คือ การขยายตัวของตลาด เนื่องจากในปีนี้มีโครงการเกิดใหม่ไม่มากอาจทำให้ตลาดไม่ขยายตัว นอกจากนี้ยังมีปัญหาภาวะการเมืองด้วย ดังนั้นบริษัทจึงเตรียมแผนรับมือด้วยการขยายตลาดส่งออกเพิ่ม โดยตลาดที่น่าสนใจคือสหรัฐอเมริกา แต่ต้องมีปรับปรุงคุณภาพและรูปแบบสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าก่อน
