เอดีบี ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้หดตัว 2% และปีหน้าจะโตได้ 3% ทิศทางเริ่มดีขึ้นจากอุปสงค์ในประเทศ และผลงานจากมาตรการรัฐ ระบุ ปัจจัยที่ยังต้องจับตา มีทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ความไม่มั่นคงทางการเมือง-ไข้หวัดใหญ่ 2009
นายจอง หวา ลี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ประจำธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือ เอดีบี เปิดเผยประเมินภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของไทย ว่า เศรษฐกิจปีนี้จะขยายตัวหดตัว 2% และกลับมาฟื้นตัวได้ในอัตรา 3% ในปีหน้า โดยเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นในขณะนี้เกิดจากอุปสงค์ในประเทศเอง พร้อมทั้งภาครัฐมีการใช้นโยบายกระตุ้นที่มีขนาดใหญ่ และทำได้อย่างรวดเร็ว แต่เหตุที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกมากเป็นอันดับต้นๆ ของกลุ่มเอเชีย เพราะไทยเป็นประเทศที่เปิด ซึ่งต้องพึ่งการส่งออกจำนวนมากเช่นกัน
สำหรับปัญหาการว่างงานจะเกิดขึ้นตามมาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ โดยจากการประเมินของเอดีบี พบว่า ในภูมิภาคเอเชียมีประชากรที่ยากจนประมาณ 60 ล้านคน ภายใต้ความรู้สึกของคนที่มองว่า เศรษฐกิจเติบโตไม่มาก หรืออัตราการขยายตัวไม่เหมือนกับช่วงที่ผ่านมา ซึ่งหากเศรษฐกิจตกลงมาอีกอาจส่งผลให้ในปีหน้าคนยากจนเพิ่มเป็น 100 ล้านคน โดยเฉพาะกลุ่มประชากรที่มีอายุน้อย
ส่วนอัตราเงินเฟ้อที่ติดลบในปัจจุบันเกิดจากราคาสินค้าลดลง ซึ่งไทยเป็นประเทศเดียวที่มีอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานติดลบ แต่การที่จะเกิดภาวะเงินฝืดได้เมื่ออัตราเงินเฟ้อติดลบเป็นระยะเวลานานๆ ซึ่งอาจเกิดจากการชะลอซื้อสินค้า เพราะผู้บริโภคคาดการณ์ว่า ราคาสินค้าลดลงอีก หรือต้นทุนสูงขึ้นจากการชะลอการลงทุน แต่ในปัจจุบันรัฐบาลประเทศต่างๆ มีการใช้นโยบายช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตได้ตามศักยภาพ ทำให้ราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้น ดังนั้น อัตราเงินเฟ้อที่ติดลบเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราวและเป็นเรื่องยากที่จะเกิดปัญหาเงินฝืดกับประเทศต่างๆ เพราะสุดท้ายรัฐมีการออกมาตรการมากระตุ้นให้ราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ เอดีบี ได้จัดทำรายงานการติดตามภาวะเศรษฐกิจในเอเชีย (AEM) ประจำเดือน ก.ค.2552 พบว่า มีการฟื้นตัวที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เห็นได้ชัดจากตัวเลขการค้าปลีกและผลผลิตอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้น และควรหันมาพึ่งอุปสงค์ในประเทศและในกลุ่มประเทศเอเชียด้วยกันเองแทนที่จะพึ่งอุปสงค์จากเศรษฐกิจโลก ขณะเดียวกัน ไม่ควรหยุดใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายแต่กลับคิดว่าธนาคารกลางในประเทศเอเชียยังมีช่องทางสามารถลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้อีก รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการคลัง เพราะไม่เช่นนั้นแทนที่จะส่งผลดีให้เศรษฐกิจฟื้นตัวกลับดึงให้เศรษฐกิจถึงจุดอิ่มเร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ดังกล่าวยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเผชิญอยู่ ได้แก่ 1.การฟื้นตัวของประเทศอุตสาหกรรมหลักที่มีผลต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย 2.การส่งผลดีของมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศต่างๆ 3.การหยุดใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย และ 4.ความไม่มั่นคงทางการเมืองและโรคระบาดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ซึ่งหากรุนแรงมากอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งแง่ท่องเที่ยวและความเชื่อมั่นผู้บริโภค รวมถึงอุปสงค์ของผู้บริโภคด้วย
นายจอง หวา ลี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ประจำธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือ เอดีบี เปิดเผยประเมินภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของไทย ว่า เศรษฐกิจปีนี้จะขยายตัวหดตัว 2% และกลับมาฟื้นตัวได้ในอัตรา 3% ในปีหน้า โดยเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นในขณะนี้เกิดจากอุปสงค์ในประเทศเอง พร้อมทั้งภาครัฐมีการใช้นโยบายกระตุ้นที่มีขนาดใหญ่ และทำได้อย่างรวดเร็ว แต่เหตุที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกมากเป็นอันดับต้นๆ ของกลุ่มเอเชีย เพราะไทยเป็นประเทศที่เปิด ซึ่งต้องพึ่งการส่งออกจำนวนมากเช่นกัน
สำหรับปัญหาการว่างงานจะเกิดขึ้นตามมาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ โดยจากการประเมินของเอดีบี พบว่า ในภูมิภาคเอเชียมีประชากรที่ยากจนประมาณ 60 ล้านคน ภายใต้ความรู้สึกของคนที่มองว่า เศรษฐกิจเติบโตไม่มาก หรืออัตราการขยายตัวไม่เหมือนกับช่วงที่ผ่านมา ซึ่งหากเศรษฐกิจตกลงมาอีกอาจส่งผลให้ในปีหน้าคนยากจนเพิ่มเป็น 100 ล้านคน โดยเฉพาะกลุ่มประชากรที่มีอายุน้อย
ส่วนอัตราเงินเฟ้อที่ติดลบในปัจจุบันเกิดจากราคาสินค้าลดลง ซึ่งไทยเป็นประเทศเดียวที่มีอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานติดลบ แต่การที่จะเกิดภาวะเงินฝืดได้เมื่ออัตราเงินเฟ้อติดลบเป็นระยะเวลานานๆ ซึ่งอาจเกิดจากการชะลอซื้อสินค้า เพราะผู้บริโภคคาดการณ์ว่า ราคาสินค้าลดลงอีก หรือต้นทุนสูงขึ้นจากการชะลอการลงทุน แต่ในปัจจุบันรัฐบาลประเทศต่างๆ มีการใช้นโยบายช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตได้ตามศักยภาพ ทำให้ราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้น ดังนั้น อัตราเงินเฟ้อที่ติดลบเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราวและเป็นเรื่องยากที่จะเกิดปัญหาเงินฝืดกับประเทศต่างๆ เพราะสุดท้ายรัฐมีการออกมาตรการมากระตุ้นให้ราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ เอดีบี ได้จัดทำรายงานการติดตามภาวะเศรษฐกิจในเอเชีย (AEM) ประจำเดือน ก.ค.2552 พบว่า มีการฟื้นตัวที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เห็นได้ชัดจากตัวเลขการค้าปลีกและผลผลิตอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้น และควรหันมาพึ่งอุปสงค์ในประเทศและในกลุ่มประเทศเอเชียด้วยกันเองแทนที่จะพึ่งอุปสงค์จากเศรษฐกิจโลก ขณะเดียวกัน ไม่ควรหยุดใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายแต่กลับคิดว่าธนาคารกลางในประเทศเอเชียยังมีช่องทางสามารถลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้อีก รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการคลัง เพราะไม่เช่นนั้นแทนที่จะส่งผลดีให้เศรษฐกิจฟื้นตัวกลับดึงให้เศรษฐกิจถึงจุดอิ่มเร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ดังกล่าวยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเผชิญอยู่ ได้แก่ 1.การฟื้นตัวของประเทศอุตสาหกรรมหลักที่มีผลต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย 2.การส่งผลดีของมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศต่างๆ 3.การหยุดใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย และ 4.ความไม่มั่นคงทางการเมืองและโรคระบาดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ซึ่งหากรุนแรงมากอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งแง่ท่องเที่ยวและความเชื่อมั่นผู้บริโภค รวมถึงอุปสงค์ของผู้บริโภคด้วย