xs
xsm
sm
md
lg

รายงานจากผู้จัดการกองทุนประจำเดือนมิถุนายน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คอลัมน์คุยกับผู้จัดการกองทุน
โดย บลจ.ยูโอบี (ไทย)


ตลาดตราสารหนี้
สถานการณ์ในเดือนพฤษภาคม
มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยแบบ Outright ต่อวันในเดือนพฤษภาคม 2552 ของตลาดตราสารหนี้ลดลงเป็น 68.668 พันล้านบาทจาก 70.387 พันล้านบาทในเดือนก่อนหน้า โดยดัชนีพันธบัตรรัฐบาลมีอัตราผลตอบแทนปรับตัวลดลงคิดเป็นร้อยละ 3.62 และดัชนีหุ้นกู้ภาคเอกชนมีอัตราผลตอบแทนปรับตัวลดลงเช่นกันโดยคิดเป็นอัตราผลตอบแทนร้อยละ 1.23 ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม ดัชนีพันธบัตรรัฐบาลมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยร้อยละ 3.71 และมีอายุเฉลี่ยเท่ากับ 5.29 ปีในขณะที่ดัชนีหุ้นกู้ภาคเอกชนมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยร้อยละ 4.67 และอายุเฉลี่ยเท่ากับ 2.78 ปี อัตราผลตอบแทนปรับเพิ่มขึ้นตลอดทั้งเส้น โดยอัตราผลตอบแทนระยะสั้นตั้งแต่ อายุ 1 - 6 เดือน ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.05 ถึง 0.15 พันธบัตรระยะสั้นอายุ 1-3 ปีปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.18 ถึง 0.57 พันธบัตรระยะกลางอายุ 5-10 ปีปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงร้อยละ 0.67 ถึง 1.04 และพันธบัตรระยะยาวตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.53 ถึง 0.87

แนวโน้ม
สภาวะตลาดในเดือนมิถุนายน 2552 ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้ไทยยังคงเป็นเรื่องความกังวลเกี่ยวกับอุปทานตราสารหนี้ภาครัฐ ทั้งนี้ในตลาดรองตราสารหนี้ คาดว่านักลงทุนจะทำการซื้อขายน้อยลง เนื่องจากรออุปทานใหม่ ที่อาจจะออกมาเพิ่มขึ้น ไม่จำเป็นต้องรีบลงทุน ไล่ซื้อในตลาดรอง ดังนั้น ถ้ายังไม่มีปัจจัยบวกอื่น ๆ เข้ามาในช่วงเดือนมิถุนายน มีความเป็นไปได้ที่ อัตราผลตอบแทนจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปได้อีก

กลยุทธ์ประจำเดือน
กลยุทธ์การลงทุนคือ ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น ถึงระยะกลาง

ตลาดตราสารทุน
ตัวเลขเศรษฐกิจ
สรุปตัวเลขเศรษฐกิจเดือนเมษายน 2552
ตัวเลขเศรษฐกิจเดือนเมษายน 2552 ยังคงแสดงการหดตัวลงต่อเนื่องเมื่อเทียบปีต่อปี แต่เมื่อปรับฤดูกาลแล้ว พบสัญญาณของการปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบเดือนต่อเดือนในส่วนของผลผลิตอุตสาหกรรม การส่งออกและการนำเข้า รวมทั้งดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน รายได้เกษตรกรลดลงมากกว่าคาด หลังจากผลผลิตและราคาพืชผลสำคัญปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับฐานที่สูงของปีก่อน ในขณะเดียวกันกลุ่มท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติหดตัวลง 11.6% เทียบปีต่อปี สู่จำนวน 1.1 ล้านคน แต่ดีขึ้นจากที่หดตัวลง 12.1% ในเดือน มีนาคม และ 23.2% ในเดือนกุมภาพันธ์ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนยังคงปรับตัวลดลงต่อ

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเริ่มฟื้นตัว
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมปรับตัวลดลง 9.7% เทียบปีต่อปี โดยหดตัวลงในอัตราที่ชะลอตัว แต่เพิ่มขึ้น 7.6% เมื่อเทียบเดือนต่อเดือน โดยการปรับตัวดีขึ้นส่วนใหญ่อยู่ในภาคที่เน้นการส่งออก คือ อิเลคทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า

มูลค่าการส่งออกยังอยู่ในภาวะชะลอตัว ขณะที่มูลค่าการนำเข้าเริ่มปรับตัวดีขึ้น
มูลค่าการส่งออกหดตัวลง 25.2% เทียบปีต่อปี สู่จำนวน 10,279 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นการหดตัวในทุกหมวดโดยเฉพาะหมวดสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูง เช่น ยานยนต์ คอมพิวเตอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนมูลค่าการนำเข้าก็หดตัวลงในทุกหมวดเช่นกัน โดยปรับตัวลดลง 36.4% เทียบปีต่อปี สู่จำนวน 9,660 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าการนำเข้าของไทยที่หดตัว 36.4% เทียบปีต่อปีในเดือนเมษายน นับว่าดีขึ้นจากระดับที่ลดลง 43.5% ในเดือนกุมภาพันธ์ และใกล้เคียงกับระดับ 35.1% ในเดือนมีนาคม

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปรับตัวลดลงในเดือนพฤษภาคม
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับตัวลดลงต่อเนื่องที่ระดับ 3.3 เทียบปีต่อปี ตามราคาพลังงานที่ต่ำเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ราคาอาหารสดปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่ในอัตราที่ชะลอตัวลง อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าลงสู่ระดับ 0.3% เทียบปีต่อปี อันเป็นผลมาจากฐานที่สูงของราคาอาหารปรุงสุกประกอบกับการปรับลดการอุดหนุนค่าน้ำในบางจังหวัด

สรุปภาวะตลาด
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องอีก 13.96% โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากเม็ดเงินไหลเข้าตลาดภูมิภาคหลังจากจีนและฮ่องกงประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ตลาดหุ้นไทยสามารถทะยานขึ้นต่อไปได้ถึงแม้จะมีข่าวด้านลบต่อบรรยากาศการลงทุน เช่นการประกาศผลการทดสอบสถานะทางการเงินของธนาคารสหรัฐอเมริกา การทดลองยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับความน่าเชื่อมั่นของสภาวะการเงินของสหรัฐฯ และสถานะการเงินของบริษัท General Motor ส่วนประเด็นหลักในประเทศนั้นเป็นเรื่องของการเข้าซื้อและควบรวมกิจการ (M&A) หนุนให้หุ้นบางตัวปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มธนาคารและพลังงานเป็นกลุ่มที่นักลงทุนสนใจมากที่สุด

แนวโน้มตลาดเดือนมิถุนายน
เงินทุนจากต่างชาติจะไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องโดยมีบรรยากาศการลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้นจากตลาดในภูมิภาคเอเชียเหนือ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนและฮ่องกง จึงทำให้ตลาดมีแรงขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องเพราะว่า ตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นน้อยเมื่อเทียบกับตลาดในภูมิภาคเดียวกันในขณะที่นักลงทุนสถาบัน (กองทุน) ส่วนใหญ่ยังให้น้ำหนักการลงทุนน้อยในตลาดหุ้นไทยเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค เดือนมิถุนายนก็เป็นเดือนที่จะมีการทำราคาปิดของหุ้นในบัญชีให้สูง จึงคาดว่าตลาดยังคงมีแนวโน้มขึ้นต่อไปได้อีก

กลยุทธ์ประจำเดือนมิถุนายน
ให้น้ำหนักการลงทุนมากกว่าตลาด ในหมวด พลังงาน ธนาคารขนาดใหญ่ อสังหาริมทรัพย์ ขนส่ง

ให้น้ำหนักการลงทุนเท่ากับตลาด ในหมวดพาณิชย์ และ สื่อสาร
ให้น้ำหนักการลงทุนน้อยกว่าตลาด ในหมวด ปิโตรเคมี
กำลังโหลดความคิดเห็น