คลังสั่ง KTB จับมือ 6 แบงก์รัฐ เพิ่มเป้าสินเชื่ออีก 3.2 แสนล้านบาท เป็นวงเงิน 1.25 ล้านล้านบาท เพื่อกระตุ้น ศก.ช่วง 5 เดือนสุดท้ายของปี 52 “กอร์ปศักดิ์” มั่นใจ เป็นช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสม เพราะมีสัญญาณทาง ศก.ที่ดีขึ้น ทั้งยังเป็นการเสริมแผนไทยเข้มแข็งที่จะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบในเดือน ก.ย.-ต.ค.นี้
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการประชุมร่วมกับ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้บริหารสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ได้มอบหมายให้สถาบันการเงินของรัฐ 6 แห่ง พร้อมด้วย ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ปรับเพิ่มเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อในปี 2552 รวมกันเป็น 1.25 ล้านล้านบาท
สำหรับสถาบันการเงินของรัฐ 6 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (I-Bank) โดยเพิ่มเป้าสินเชื่อจาก 625,500 ล้านบาท เพิ่มเป็น 900,000 ล้านบาท
ขณะ KTB ปรับเพิ่มเป้าปล่อยสินเชื่อจาก 300,000 ล้านบาท เป็น 350,000 ล้านบาท เนื่องจาก KTB มีบทบาทการแข่งขันในเชิงพาณิชย์ และมีความสามารถในการปล่อยสินเชื่อได้ดี เห็นได้จากช่วงครึ่งปีแรก การปล่อยสินเชื่อของธนาคารขยายตัวได้ถึง 5% สวนทางกับการปล่อยสินเชื่อในระบบธนาคารพาณิชย์ ที่หดตัว 2%
นายกอร์ปศักดิ์ ยังเชื่อว่า การเร่งรัดให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐทั้ง 6 แห่ง และ KTB ปล่อยสินเชื่อมากขึ้นในช่วง 5 เดือนที่เหลือของปีนี้ เนื่องจากเห็นว่าเป็นช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากขณะนี้มีสัญญาณทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น อีกทั้งรัฐบาลมีโครงการลงทุนตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งที่จะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบในช่วงเดือนกันยายน 2552 ถึงเดือนตุลาคม 2552 นี้
“เป้าหมายโดยรวมการปล่อยสินเชื่อปีนี้ทั้งของแบงก์กรุงไทยและ 6 สถาบันการเงินของรัฐ จะอยู่ที่ 1.25 ล้านล้านบาท เชื่อว่า น่าจะทำได้ ซึ่งเทียบปี 2551 สถาบันของรัฐ 6 แห่ง ไม่รวมแบงก์กรุงไทย ปล่อยสินเชื่อได้ 810,570 ล้านบาท และครึ่งแรกของปีนี้ ปล่อยสินเชื่อไปได้ 423,310 ล้านบาท โดยที่ปัญหาเศรษฐกิจทำให้การปล่อยสินเชื่อชะลอตัวในไตรมาสแรก แต่ไตรมาส 2 เริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น และภาวะเศรษฐกิจขณะนี้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ถือเป็นระยะเวลาที่เหมาะสม”
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเพิ่มเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อครั้งนี้ เชื่อว่า จะไม่ได้ทำให้เกิดปัญหาสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เพิ่มขึ้น เนื่องจากสถาบันการเงินแต่ละแห่ง มีกฎระเบียบในการอนุมัติสินเชื่ออยู่แล้ว
ขณะที่ รมว.คลัง กล่าวว่า สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ มีบทบาทสำคัญในการเข้าไปดูแลเศรษฐกิจ และมีผลทางสังคมในการเข้าถึงสินเชื่อ ส่วนความกังวลในเรื่องการเร่งรัดการปล่อยสินเชื่อตามนโยบายของรัฐบาล จะทำให้เกิดปัญหาเอ็นพีแอลนั้น เห็นว่า หากสถาบันการเงินแห่งใด มีข้อเสนอที่จะให้มีการจัดแยกบัญชี PSA (Public Service Account) สามารถนำเสนอเพื่อให้รัฐรับรู้ได้