ตลาดหุ้นซึม ดัชนีปิดบวกแค่ 0.02 จุด นักลงทุนกังวล "มูดี้ส์" ลดอันดับเครดิตธนาคารพาณิชย์ไทย 11 แห่ง ส่งผลบรรยากาศซื้อขายหุ้นไม่คึกคัก แนะจับตาปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก
รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วันที่ 28 พฤษภาคม 2552 (วานนี้) ดัชนีแกว่งตัวผันผวนแต่ส่วนใหญ่อ่อนตัวในแดนลบ ตามแรงเทขายทำกำไรสลับกับแรงซื้อในบางช่วง โดยระหว่างวันดัชนีทะยานขึ้นสูงสุดที่ 557.94 จุด ลดลงต่ำสุดที่ 552.14 จุด จนมาปิดตลาดที่ 555.43 จุด เพิ่มขึ้น 0.02 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 10,930.52 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ปิดที่ 174.96 จุด ลดลง 0.27 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขาย 253.11 ล้านบาท
ด้านสัดส่วนการลงทุนแบ่งเป็นนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิที่ 384.20 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิที่ 243.75 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิที่ 627.95 ล้านบาท โดยนายวีระชัย ครองสามสี ผอ.อาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟาร์อีสท์ จำกัด (มหาชน) มองว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวแคบๆ และปรับฐานตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค บวกกับหุ้นไทยดีดตัวเพิ่มขึ้นในวานก่อน ขณะที่ปริมาณการซื้อขายเริ่มแผ่วลง เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่าต้องเผชิญกับแรงเทขาย จากการที่มูดี้ส์ทบทวนอันดับเครดิตธนาคารพาณิชย์ไทยทั้ง 11 แห่ง
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันที่ 29 พฤษภาคม 2552 (วันนี้) มองว่าต้องจับตาทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ รวมถึงผลการประชุมของกลุ่มผู้ค้าน้ำมันโลก (โอเปก) หากเพิ่มกำลังผลิตน้ำมัน ราคาน้ำมันจะตอบสนองโดยปรับตัวเพิ่มขึ้นและทำให้หุ้นกลุ่มพลังงานเพิ่มไปด้วย หากลดกำลังผลิต จะไม่มีผลดีต่อเศรษฐกิจ เพราะเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวช้า นอกจากนี้ ต้องติดตามแรงขายของนักลงทุนต่างชาติว่ายังมีต่อหรือไม่ โดยประเมินแนวรับที่ 545-550 จุด และแนวต้าน 560 จุด ด้านกลยุทธ์ เมื่อดัชนีปรับขึ้นแนะนำเทขายทำกำไร
นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอสวิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด หรือ DBS เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้มีการปรับตัวผันผวนขึ้นลงตลอดเวลา เนื่องจากนักลงทุนเกิดความวิตกมากขึ้นถึงเรื่องผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นของพันธบัตรสหรัฐ ที่อาจส่งผลกระทบทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มสูงขึ้น และอาจสกัดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ อีกทั้งการที่ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลดลง ยังมีส่วนส่งผลให้อัตราค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงด้วย
นอกจากนี้ยังมีอีกปัจจัยที่สร้างความวิตกกังวลต่อนักลงทุนคือ การที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์เซอร์วิส ประกาศทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของหนี้สินและเงินฝากของธนาคารในประเทศไทย 11 แห่ง ซึ่งหลังเปิดการซื้อขายช่วงเช้าวานนี้พบว่าราคาหุ้นธนาคารส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ดัชนีเกิดความผันผวนตลอดวัน
สำหรับ ปัจจัยภายนอกประเทศที่น่าติดตามคือการประชุมองค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน(โอเปก) เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2552 (วานนี้) เพื่อพิจารณากำลังการผลิตน้ำมัน โดยคาดว่าไม่น่าส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุน มากนักเ นื่องจากระยะนี้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น นักลงทุนจึงไม่มีความวิตกในประเด็นดังกล่าว เช่นเดียวกันกับปัจจัยการเมืองภายในประเทศ ที่เกิดความวุ่นวายในกลุ่มพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน จึงยังไม่มีผลกระทบใดๆที่เห็นได้ชัด
“แนวโน้มดัชนีวันที่ 29 พฤษภาคม 2552 (วันนี้) คาดว่าจะมีการแกว่งตัวในกรอบแคบ โดยต้องติดตามปัจจัยต่างประเทศเป็นหลักถึงผลการประชุมโอเปก โดยประเมินกรอบแนวรับที่ 540 จุด แนวต้าน 560 จุด กลยุทธ์แนะนำนักลงทุนซื้อเมื่อดัชนีอ่อนตัว”
ด้านนายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไซรัส กล่าวว่า ภาพรวมดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในวานนี้ แกว่งตัวในกรอบแคบๆ โดยเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกและแดนลบสลับกัน เนื่องจากนักลงทุนยังไม่มีความเชื่อมั่น ในภาวะเศรษฐกิจหลังตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯออกมาย่ำแย่ และทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศที่ผันผวน ทำให้ไม่มีปัจจัยชี้นำตลาดฯ
นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังได้รับแรงกดดันหลังมูดีส์ฯ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ ประกาศทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคาร 11 แห่ง ซึ่งมูดีส์ตั้งข้อสังเกตว่า การทบทวนไม่มีแนวโน้มที่จะปรับลดอันดับที่มากกว่า 1 ขั้น ซึ่งจะมีการสรุปผลได้ใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า แต่เชื่อว่าจะส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยในวันนี้ ประเมินว่า ดัชนีฯน่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆ เช่นเดียวกับเมื่อวานนี้ โดยเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกและแดนลบสลับกับ แต่อย่างไรก็ตาม ดัชนีจะเน้นหนักในแดนลบมากกว่า เนื่องจากในวันนี้เป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ และไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามาสนับสนุนบรรยากาศการลงทุน ซึ่งอาจทำให้มีแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง”
ขณะที่ ในสัปดาห์หน้ายังมีประเด็นที่ต้องติดตาม เช่น ข่าวของบริษัทเจเนอรัล มอเตอร์ (จีเอ็ม) ที่จะยื่นเข้าสู่กระบวนการล้มละลายหรือไม่ รวมทั้งจับตาปัจจัยภายในประเทศเกี่ยวกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเรื่องพระราชกำหนดการกู้เงินของรัฐบาลวงเงิน 4 แสนล้านบาท ในวันที่ 3 มิถุนายน 2552 เพราะประเด็นดังกล่าวจะส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุน ส่วนกลยุทธ์การลงทุน แนะนำ ชะลอการลงทุน โดยประเมินแนวรับอยู่ที่ 542 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 558 จุด
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้แกว่งตัวแคบมาก ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย อีกทั้งจากที่ตลาดจีน ไต้หวัน และฮ่องกงได้ปิดทำการ ทำให้วานนี้ดูเหมือนวอลุ่มเทรดของตลาดได้หดหายไปด้วย อย่างไรก็ตามแม้ว่าดาวโจนส์จะปรับตัวลง แต่ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวขึ้น ทำให้ตลาดฯสามารถทรงตัวได้ แต่เงินลงทุนก็ได้มีการกระจายไปที่หุ้นขนาดเล็กมากขึ้น ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่จะทรงๆ ตัว ทั้งนี้คงเป็นเพราะตลาดฯกำลังรอประเด็นใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุน
ดังนั้น แนวโน้มการลงทุนในวันนี้ ตลาดหุ้นไทยคงจะแกว่งตัวในกรอบ 550-560 จุด พร้อมแนะติดตามดูตัวเลขยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐฯ ยอดขายบ้านใหม่ และสตอกน้ำมันในสหรัฐฯ ที่จะมีการทยอยประกาศออกมาในช่วงนี้
รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วันที่ 28 พฤษภาคม 2552 (วานนี้) ดัชนีแกว่งตัวผันผวนแต่ส่วนใหญ่อ่อนตัวในแดนลบ ตามแรงเทขายทำกำไรสลับกับแรงซื้อในบางช่วง โดยระหว่างวันดัชนีทะยานขึ้นสูงสุดที่ 557.94 จุด ลดลงต่ำสุดที่ 552.14 จุด จนมาปิดตลาดที่ 555.43 จุด เพิ่มขึ้น 0.02 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 10,930.52 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ปิดที่ 174.96 จุด ลดลง 0.27 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขาย 253.11 ล้านบาท
ด้านสัดส่วนการลงทุนแบ่งเป็นนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิที่ 384.20 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิที่ 243.75 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิที่ 627.95 ล้านบาท โดยนายวีระชัย ครองสามสี ผอ.อาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟาร์อีสท์ จำกัด (มหาชน) มองว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวแคบๆ และปรับฐานตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค บวกกับหุ้นไทยดีดตัวเพิ่มขึ้นในวานก่อน ขณะที่ปริมาณการซื้อขายเริ่มแผ่วลง เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่าต้องเผชิญกับแรงเทขาย จากการที่มูดี้ส์ทบทวนอันดับเครดิตธนาคารพาณิชย์ไทยทั้ง 11 แห่ง
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันที่ 29 พฤษภาคม 2552 (วันนี้) มองว่าต้องจับตาทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ รวมถึงผลการประชุมของกลุ่มผู้ค้าน้ำมันโลก (โอเปก) หากเพิ่มกำลังผลิตน้ำมัน ราคาน้ำมันจะตอบสนองโดยปรับตัวเพิ่มขึ้นและทำให้หุ้นกลุ่มพลังงานเพิ่มไปด้วย หากลดกำลังผลิต จะไม่มีผลดีต่อเศรษฐกิจ เพราะเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวช้า นอกจากนี้ ต้องติดตามแรงขายของนักลงทุนต่างชาติว่ายังมีต่อหรือไม่ โดยประเมินแนวรับที่ 545-550 จุด และแนวต้าน 560 จุด ด้านกลยุทธ์ เมื่อดัชนีปรับขึ้นแนะนำเทขายทำกำไร
นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอสวิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด หรือ DBS เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้มีการปรับตัวผันผวนขึ้นลงตลอดเวลา เนื่องจากนักลงทุนเกิดความวิตกมากขึ้นถึงเรื่องผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นของพันธบัตรสหรัฐ ที่อาจส่งผลกระทบทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มสูงขึ้น และอาจสกัดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ อีกทั้งการที่ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลดลง ยังมีส่วนส่งผลให้อัตราค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงด้วย
นอกจากนี้ยังมีอีกปัจจัยที่สร้างความวิตกกังวลต่อนักลงทุนคือ การที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์เซอร์วิส ประกาศทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของหนี้สินและเงินฝากของธนาคารในประเทศไทย 11 แห่ง ซึ่งหลังเปิดการซื้อขายช่วงเช้าวานนี้พบว่าราคาหุ้นธนาคารส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ดัชนีเกิดความผันผวนตลอดวัน
สำหรับ ปัจจัยภายนอกประเทศที่น่าติดตามคือการประชุมองค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน(โอเปก) เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2552 (วานนี้) เพื่อพิจารณากำลังการผลิตน้ำมัน โดยคาดว่าไม่น่าส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุน มากนักเ นื่องจากระยะนี้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น นักลงทุนจึงไม่มีความวิตกในประเด็นดังกล่าว เช่นเดียวกันกับปัจจัยการเมืองภายในประเทศ ที่เกิดความวุ่นวายในกลุ่มพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน จึงยังไม่มีผลกระทบใดๆที่เห็นได้ชัด
“แนวโน้มดัชนีวันที่ 29 พฤษภาคม 2552 (วันนี้) คาดว่าจะมีการแกว่งตัวในกรอบแคบ โดยต้องติดตามปัจจัยต่างประเทศเป็นหลักถึงผลการประชุมโอเปก โดยประเมินกรอบแนวรับที่ 540 จุด แนวต้าน 560 จุด กลยุทธ์แนะนำนักลงทุนซื้อเมื่อดัชนีอ่อนตัว”
ด้านนายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไซรัส กล่าวว่า ภาพรวมดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในวานนี้ แกว่งตัวในกรอบแคบๆ โดยเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกและแดนลบสลับกัน เนื่องจากนักลงทุนยังไม่มีความเชื่อมั่น ในภาวะเศรษฐกิจหลังตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯออกมาย่ำแย่ และทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศที่ผันผวน ทำให้ไม่มีปัจจัยชี้นำตลาดฯ
นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังได้รับแรงกดดันหลังมูดีส์ฯ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ ประกาศทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคาร 11 แห่ง ซึ่งมูดีส์ตั้งข้อสังเกตว่า การทบทวนไม่มีแนวโน้มที่จะปรับลดอันดับที่มากกว่า 1 ขั้น ซึ่งจะมีการสรุปผลได้ใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า แต่เชื่อว่าจะส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยในวันนี้ ประเมินว่า ดัชนีฯน่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆ เช่นเดียวกับเมื่อวานนี้ โดยเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกและแดนลบสลับกับ แต่อย่างไรก็ตาม ดัชนีจะเน้นหนักในแดนลบมากกว่า เนื่องจากในวันนี้เป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ และไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามาสนับสนุนบรรยากาศการลงทุน ซึ่งอาจทำให้มีแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง”
ขณะที่ ในสัปดาห์หน้ายังมีประเด็นที่ต้องติดตาม เช่น ข่าวของบริษัทเจเนอรัล มอเตอร์ (จีเอ็ม) ที่จะยื่นเข้าสู่กระบวนการล้มละลายหรือไม่ รวมทั้งจับตาปัจจัยภายในประเทศเกี่ยวกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเรื่องพระราชกำหนดการกู้เงินของรัฐบาลวงเงิน 4 แสนล้านบาท ในวันที่ 3 มิถุนายน 2552 เพราะประเด็นดังกล่าวจะส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุน ส่วนกลยุทธ์การลงทุน แนะนำ ชะลอการลงทุน โดยประเมินแนวรับอยู่ที่ 542 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 558 จุด
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้แกว่งตัวแคบมาก ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย อีกทั้งจากที่ตลาดจีน ไต้หวัน และฮ่องกงได้ปิดทำการ ทำให้วานนี้ดูเหมือนวอลุ่มเทรดของตลาดได้หดหายไปด้วย อย่างไรก็ตามแม้ว่าดาวโจนส์จะปรับตัวลง แต่ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวขึ้น ทำให้ตลาดฯสามารถทรงตัวได้ แต่เงินลงทุนก็ได้มีการกระจายไปที่หุ้นขนาดเล็กมากขึ้น ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่จะทรงๆ ตัว ทั้งนี้คงเป็นเพราะตลาดฯกำลังรอประเด็นใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุน
ดังนั้น แนวโน้มการลงทุนในวันนี้ ตลาดหุ้นไทยคงจะแกว่งตัวในกรอบ 550-560 จุด พร้อมแนะติดตามดูตัวเลขยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐฯ ยอดขายบ้านใหม่ และสตอกน้ำมันในสหรัฐฯ ที่จะมีการทยอยประกาศออกมาในช่วงนี้