xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นไทยไม่กระดิก-ไร้ข่าวกระตุ้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน – หุ้นไทยซึมตามตลาดหุ้นภูมิภาค ปิดลาดเพิ่มขึ้นแค่ 0.02 จุด วอลุ่มซื้อขาย 10,930.52 ล้านบาท กูรูชี้แม้วอลุ่มหด แต่ยังได้อานิสงส์ราคาน้ำมันช่วยพยุงตัวให้อยู่เหนือแดนบวก ระบุความเชื่อมั่นนักลงทุนช่วงนี้ลดลง เหตุไร้ปัจจัยบวกมากระตุ้น และหวั่นวิตกกับเศรษฐกิจของสหรัฐ ส่วนสถานการณ์ภายในประเทศไม่ส่งผลกระทบ แนะนำ “ซื้อเมื่ออ่อนตัว”
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ วานนี้(28พ.ค.) ปิดที่ระดับ 555.43 จุด เพิ่มขึ้น 0.02 จุด โดยระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 557.94 จุด ส่วนจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 552.14 จุด มูลค่าการซื้อขาย 10,930.52 ล้านบาท ทั้งนี้ ตอลดวันดัชนีตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวหรือแกว่งในกรอบแคบ เช่นเดียวกับดัชนีตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค ยกเว้นตลาดจีน, ไต้หวัน และฮ่องกงที่ปิดทำการ ซึ่งปัจจัยนี้น่าจะเป็นอีกสาเหตุที่ส่งผลต่อวอลุ่มการซื้อขายที่ลดลงไปด้วย ขณะเดียวกันอีกสาเหตุที่ทำให้ดัชนีฯยังทรงตัวอยู่ในแดนบวกได้ แม้ดาวโจนส์จะปรับตัวลง น่าจะมาจากราคาน้ำมันดิบปรับขึ้น ทำให้ตลาดฯสามารถทรงตัวได้ อีกทั้งเงินลงทุนก็ได้มีการกระจายไปที่หุ้นขนาดเล็กมากขึ้น
โดยดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์ค ปิดที่ระดับ 8300.02 จุด ลดลง 173.47 จุด หรือ -2.05% ส่วนดัชนี ฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 17,885.27 จุด เพิ่มขึ้น 893.71 จุด หรือ 5.26 % และดัชนี นิกเกอิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดตลาดที่ระดับ 9,451.39 จุด เพิ่มขึ้น 12.62 จุด หรือ 0.13 %
ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 162 หลักทรัพย์ ลดลง 151 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 125 หลักทรัพย์ แต่เมื่อแบ่งแยกออกเป็นประเภทนักลงทุนยังพบว่า นักลงทุนต่างประเทศมีการซื้อสุทธิต่อเนื่อง โดยวานนี้มีการซื้อสุทธิ 627.01 ล้านบาท โดยนักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 383.95 ล้านบาท และ 243.05 ล้านบาทจากการขายสุทธิของสถาบัน
ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ TTA มูลค่าการซื้อขาย 1,142.68 ล้านบาท ปิดที่ 20.80 บาท เพิ่มขึ้น0.60 บาท PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 963.80 ล้านบาท ปิดที่ 125.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง PTTAR มูลค่าการซื้อขาย 945.87 ล้านบาท ปิดที่ 19.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท PTT มูลค่าการซื้อขาย 551.22 ล้านบาท ปิดที่ 217.00 บาท ลดลง 1.00 บาท และ SCB มูลค่าการซื้อขาย 404.61 ล้านบาท ปิดที่ 67.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอสวิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด หรือ DBS เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้มีการปรับตัวผันผวนขึ้นลงตลอดเวลา เนื่องจากนักลงทุนเกิดความวิตกมากขึ้นถึงเรื่องผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นของพันธบัตรสหรัฐ ที่อาจส่งผลกระทบทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มสูงขึ้น และอาจสกัดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ อีกทั้งการที่ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลดลง ยังมีส่วนส่งผลให้อัตราค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงด้วย
นอกจากนี้ยังมีอีกปัจจัยที่สร้างความวิตกกังวลต่อนักลงทุนคือ การที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์เซอร์วิส ประกาศทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของหนี้สินและเงินฝากของธนาคารในประเทศไทย 11 แห่ง ซึ่งหลังเปิดการซื้อขายช่วงเช้าวานนี้พบว่าราคาหุ้นธนาคารส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ดัชนีเกิดความผันผวนตลอดวัน
สำหรับ ปัจจัยภายนอกประเทศที่น่าติดตามคือการประชุมองค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน(โอเปค)วานนี้(28พ.ค.)เพื่อพิจารณากำลังการผลิตน้ำมัน โดยคาดว่าไม่น่าส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุน มากนักเ นื่องจากระยะนี้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น นักลงทุนจึงไม่มีความวิตกในประเด็นดังกล่าว เช่นเดียวกันกับปัจจัยการเมืองภายในประเทศ ที่เกิดความวุ่นวายในกลุ่มพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน จึงยังไม่มีผลกระทบใดๆที่เห็นได้ชัด
“แนวโน้มดัชนีวันนี้(29พ.ค.) คาดว่าจะมีการแกว่งตัวในกรอบแคบ โดยต้องติดตามปัจจัยต่างประเทศเป็นหลักถึงผลการประชุมโอเปค โดยประเมินกรอบแนวรับที่ 540 จุด แนวต้าน 560 จุด กลยุทธ์แนะนำนักลงทุนซื้อเมื่อดัชนีอ่อนตัว”
ด้านนายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไซรัส กล่าวว่า ภาพรวมดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในวานนี้ แกว่งตัวในกรอบแคบๆ โดยเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกและแดนลบสลับกัน เนื่องจากนักลงทุนยังไม่มีความเชื่อมั่น ในภาวะเศรษฐกิจหลังตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯออกมาย่ำแย่ และทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศที่ผันผวน ทำให้ไม่มีปัจจัยชี้นำตลาดฯ
นอกจากนี้ตลาดฯยังได้รับแรงกดดันหลังมูดีส์ฯ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ ประกาศทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคาร 11 แห่ง โดยมูดีส์ฯตั้งข้อสังเกตว่า การทบทวนไม่มีแนวโน้มที่จะปรับลดอันดับที่มากกว่า 1 ขั้น ซึ่งจะมีการสรุปผลได้ใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า แต่เชื่อว่าจะส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“แนวโน้มดัชนีฯในวันนี้ ประเมินว่า ดัชนีฯน่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆเช่นเดียวกับเมื่อวานนี้ โดยเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกและแดนลบสลับกับ แต่อย่างไรก็ตาม ดัชนีฯจะเน้นหนักในแดนลบมากกว่า เนื่องจากในวันนี้เป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ และไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามาสนับสนุนบรรยากาศการลงทุน ซึ่งอาจทำให้มีแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง”
ขณะที่ ในสัปดาห์หน้ายังมีประเด็นที่ต้องติดตาม เช่น ข่าวของบริษัทเจเนอรัล มอเตอร์ (จีเอ็ม) ที่จะยื่นเข้าสู่กระบวนการล้มละลายหรือไม่ รวมทั้งจับตาปัจจัยภายในประเทศเกี่ยวกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเรื่องพระราชกำหนดการกู้เงินของรัฐบาลวงเงิน 4 แสนล้านบาท ในวันที่ 3 มิ.ย.52 เพราะประเด็นดังกล่าวจะส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุน ส่วนกลยุทธ์การลงทุน แนะนำ ชะลอการลงทุน โดยประเมินแนวรับอยู่ที่ 542 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 558 จุด
ด้าน นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้แกว่งตัวแคบมาก ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย อีกทั้งจากที่ตลาดจีน ไต้หวัน และฮ่องกงได้ปิดทำการ ทำให้วานนี้ดูเหมือนวอลุ่มเทรดของตลาดได้หดหายไปด้วย อย่างไรก็ตามแม้ว่าดาวโจนส์จะปรับตัวลง แต่ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวขึ้น ทำให้ตลาดฯสามารถทรงตัวได้ แต่เงินลงทุนก็ได้มีการกระจายไปที่หุ้นขนาดเล็กมากขึ้น ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่จะทรง ๆ ตัว ทั้งนี้คงเป็นเพราะตลาดฯกำลังรอประเด็นใหม่ ๆ เข้ามาสนับสนุน
ดังนั้น แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(29 พ.ค.) ตลาดหุ้นไทยคงจะแกว่งตัวในกรอบ 550-560 จุด พร้อมแนะติดตามดูตัวเลขยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐฯ, ยอดขายบ้านใหม่ และสต็อคน้ำมันในสหรัฐฯที่จะ มีการประกาศ
กำลังโหลดความคิดเห็น