ตลาดหุ้นไทย แบงก์-พลังงาน โดนเทขายหนัก คาดต่างชาติขนเงินกลับไปอุดสภาพคล่อง ราคาหุ้น ปตท.หวิดหลุด 100 บาท/หุ้น "ภัทรียา" ยอมรับตลาดหุ้นร่วง 6% ตามทิศทางภูมิภาค ชี้สถานการณ์ขณะนี้ยังประเมินยาก เพราะความไม่มั่นใจทั้งหมดยังคงอยู่ โดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดกับฝั่งยุโรป ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ ด้านหุ้นเอเชียดิ่งเหวลงทุกลตาด "ซิตี้กรุ๊ป" ชี้ต่างชาติถอนเงินไปแล้ว 1.6 หมื่ลล้านดอลลาร์
ภาวะตลาดหุ้นไทย วันนี้ ( 6 ต.ค.) ดัชนีภาคบ่ายยังคงปรับตัวลงต่อเนื่อง โดยเมื่อเวลา 16.28 น.ดัชนีอยู่ที่ระดับ 553.72 จุด ลดลง 36.33 จุด เปลี่ยนแปลง -6.16%
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า เหตุที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยร่วงแรงกว่า 6% ในวันนี้ เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ปรับตัวลดลงแรงโดยเฉลี่ย 5% แต่ตลาดหุ้นไทยเปิดทำการในภาคบ่ายคาบเกี่ยวถึงช่วงที่ตลาดฝั่งยุโรปเปิดทำการแล้ว ทำให้ปรับตัวลดลงมากกว่าตลาดอื่นๆ ที่ปิดทำการไปแล้ว
ปัจจัยตลาดต่างประเทศที่ปรับตัวลดลงมาจากความกังวลผลกระทบจากปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐที่ลุกลามไปในจุดอื่น ๆ โดยเฉพาะยุโรป ที่เห็นสถาบันการเงินขนาดใหญ่มีปัญหา ทำให้แม้ว่าสภาคองเกรสของสหรัฐจะผ่านแผน 7 แสนล้านดอลลาร์ออกมาแก้วิกฤตในประเทศ จึงยังเกิดความไม่เชื่อมั่นขึ้นว่าจะช่วยแก้ปัญหาในจุดอื่นๆ ได้หรือไม่
นอกจากนั้น สาเหตุส่วนหนึ่งยังมาจากปัญหาการเมืองภายในประเทศที่เกรงว่าอาจจะเกิดเรื่องที่ทำให้สถานการณ์ไม่นิ่ง โดยเฉพาะเมื่อมีการจับกุมแกนนำคนสำคัญของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
นางภัทรียา กล่าวว่า สถานการณ์ในขณะนี้ยังประเมินยาก เพราะความไม่มั่นใจทั้งหมดยังคงอยู่ โดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดกับฝั่งยุโรป ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ ส่วนประเด็นฟอร์ซเซลในระยะนี้ ไม่ใช่ประเด็นที่เป็นนัยสำคัญต่อตลาดหุ้น เพราะปริมาณการซื้อขายทรัพย์ด้วยมาร์จิ้นมีไม่มาก อีกทั้งก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นก็ไม่ได้ขึ้นไปแรงจนทำให้เกิดการเข้ามาเก็งกำไรมากแต่อย่างใด
น.ส.ศศิกร เจริญสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ร่วงแรง ไม่มีปัจจัยในทางบวก เป็นไปตามทิศทางตลาดภูมิภาค ขณะที่ภาพการเมืองเราไม่ค่อยชัดเจนจึงเห็นมีการปรับตัวลง
วันนี้ React ค่อนข้างแรง เนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาและทั้งปัจจัยภายนอกและภายในก็ยังไม่มีปัจจัยที่บวกเห็นเป็นรูปธรรม
"เดิมทีมองช่วงไตรมาสสุดท้ายเป็น high season ของส่งออก แต่มีภาพภาวะเศรษฐกิจที่ดูไม่ดีสำหรับต่างประเทศก็จะส่งผลต่อส่งออก Consumption ในประเทศก็คงหวังพึ่ง high season ได้ไม่ค่อยมาก ในประเทศก็ถูกลบด้วยแรงกดดันเรื่องการเมือง"
ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศเมื่อกังวลก็ขายหุ้นบิ๊กแคป ถึงแม้จะขายไปแล้วเยอะมาก แต่ก็มองว่ายังมีขายอยู่อีกเรื่อยๆ โดยตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปี 2550 ที่ต่างชาติซื้อเยอะๆโดยสะสมไว้ 2.57 แสนล้านบาท ตอนนี้ขายไปแล้ว 1.25 แสนล้านบาท ยังมีเหลือให้ขายอีก 1.31 แสนล้านบาท แต่มองว่าคงไม่ขายเยอะขนาดนั้น
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า นักลงทุนยังตื่นตระหนกซึ่งประเด็นหลักก็ยังมาจากความกังวลเรื่องผลกระทบจากวิกฤตการเงินในสหรัฐ โดยนักลงทุนต่างชาติ ยังเทขายหุ้นไทยมากขึ้น เนื่องจากวิตกเรื่องผลกระทบจากวิกฤตภาคการเงินที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยลบในประเทศจากการเมืองภายในประเทศ
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการส่วนวิจัยเศรษฐกิจ และกลยุทธ์การลงทุน บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่าภาวะตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐ แต่ตลาดหุ้นไทยอาจจะได้รับผลกระทบในด้านปัจจัยการเมืองอีกด้าน ซึ่งมากกว่าตลาดหุ้นในต่างประเทศ ซึ่งวันนี้มีแรงเทขายออกมาหนักมากในหุ้น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มพลังงาน ซึ่งได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ลดลง ส่วนอีกกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแบงก์ ที่มองว่าน่าจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
**ต่างชาติทิ้งหุ้น ปตท. ผวารูดต่ำกว่า 100 บาท/หุ้น
นักวิเคราะห์ กล่าวถึงกรณีที่หุ้นบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ถูกเทขายออกมาอย่างหนักในวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติเทขาย เพื่อนำเงินไปอุดบริษัทตัวเองในต่างประเทศ เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง พร้อมยอมรับว่า ราคาหุ้น PTTEP มีโอกาสปรับตัวลดลงต่ำกว่า 100 บาทแน่นอน เนื่องจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งถือหุ้นค่อนข้างมากราว 30% โดยปตท.ถือ 65.5% และรายย่อยประมาณ 5%
ส่วนบริษัทฯ จะเข้ามาซื้อหุ้นเพื่อพยุงราคาหรือไม่นั้น เชื่อว่าคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากปัจจุบันปตท.ถือราว 65.5% ซึ่งตามกฎหากถือเกิน 66.67% ถือเป็นรัฐวิสาหกิจเต็มตัว ซึ่งจะทำให้การทำงานยุ่งยากมากขึ้น ประกอบกับการซื้อหุ้นคืนจะมีผลทำให้บริษัทไม่สามารถเพิ่มทุนได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และปัญหาอื่นๆตามมากมายดังนั้นประเด็นการเข้าซื้อหุ้นจึงต้องตัดออกจากการพิจารณา
"วันนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง แต่ตลาดหุ้นบ้านเราลงหนักกว่าเพื่อน เพราะนอกจากของเราจะลดลงตามทั่วโลกแล้ว นักลงทุนต่างชาติที่ถือหุ้นบ้านเราก็ต้องขายทิ้งเพื่อนำเงินไปอุดรูโหว่ของตัวเองซึ่งเชื่อว่าอีกสักพักแรงขายน่าจะหมด และหุ้น PTTEP ถือเป็นหุ้นพลังงานที่ต่างชาติถือเยอะมาก ซึ่งแรงขายก็น่าจะเยอะเช่นกันทำให้ราคามีโอกาสรูดต่ำกว่า 100 บาท"
**ต่างชาติถองเงินจากเอเชียแล้ว 1.6 หมื่นล.
บทวิเคราะห์ของ ซิตี้ กรุ๊ป ระบุว่า นับตั้งแต่ต้นปีนี้ถึงปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติได้ถอนการลงทุน (Redemption) ออกจากตลาดเอเชียไปแล้ว 15.6 พันล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับปีก่อน ที่มีเม็ดเงินไหลเข้ามา (In Flow) ประมาณ 16.4 พันล้านดอลลาร์
ดังนั้น หากช่วงที่เหลือของปีนี้ เกิดมีการถอนการลงทุนออกไปอีก 1.8 พันล้านดอลลาร์ ออกจากตลาดเอเชีย จะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวในลักษณะที่แย่กว่าปี ค.ศ. 2001 หรือปี 2544 ที่เศรษฐกิจทั่วโลกมีการชะลอตัวลง
ทั้งนี้ จากการสำรวจพบว่า ตลาดเกาหลี, อินเดีย เกิด Redemption หนักสุด ส่วนตลาดหุ้นไทย นับตั้งแต่ต้นปีนี้ถึงปัจจุบัน (3 ต.ค.) มีเม็ดเงินไหลออกไป 3.9 พันล้านดอลลาร์ ดังนั้น เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงจึงควร Wait & See โดยรอให้ความสั่นสะเทือนเกี่ยวกับวิกฤตการเงินได้อ่อนตัวลงก่อน
**หุ้นเอเชียกอดคอดิ่งเหวทุกตลาด
-ตลาดหุ้นโตเกียวปิดตลาดทรุดลงแตะระดับปิดต่ำสุดในรอบ 4 ปีครึ่งเนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นทั่วกระดาน จากความวิตกที่เพิ่มมากขึ้นว่าวิกฤติการเงินโลกกำลังกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม "ดัชนีนิกเกอิ" ปิดตลาดรูด 465.05 จุดหรือ 4.25 % สู่ระดับ 10,473.09 ขณะมีวอลุ่ม 2.6 พันล้านหุ้น โดยมีหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกเป็นสัดส่วนเกือบ 17 ต่อ 1
-ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดตลาดทรุดตัวลงต่ำกว่าระดับ 17,000 เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีวันนี้ ขณะที่หุ้นจีนร่วงลง แม้มีความพยายามครั้งใหม่ของหน่วยงานกำกับดูแลในการหนุนตลาดหุ้นจีน "ดัชนีฮั่งเส็ง" ปิดดิ่ง 878.64 จุด หรือ 4.97 % สู่ระดับ 16,803.76
-ตลาดหุ้นไต้หวันปิดตลาดร่วงลงกว่า 4 % สู่ระดับปิดต่ำสุดในรอบกว่า4 ปี โดยหุ้นกลุ่มการเงิน ซึ่งรวมถึงหุ้นคาเธย์ ไฟแนนเชียล นำตลาดดิ่งลงจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจโลก "ดัชนีเวทเต็ด" ปิดทรุดตัวลง 236.53 จุด หรือ 4.12 % ที่ 5,505.70 ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 18 ส.ค.
ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดตลาดร่วงลงกว่า 4 % นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคารและนักลงทุนไม่ได้ให้ความสนใจกับการอนุมัติแผนฟื้นฟูภาคการเงินสหรัฐเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว "ดัชนีคอมโพสิต" ปิดร่วง 60.90 จุด หรือ 4.29 % ที่ 1,358.75 ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค.2007 หลังดิ่งลงเกือบ 5 % แตะระดับต่ำสุดของวันที่ 1,351.72
**หุ้นไทยปิดตลาดภาคบ่ายที่จุดต่ำสุด
สำหรับตลาดหุ้นไทย เมื่อเวลา 16.37 น. ดัชนีอยู่ที่ระดับ 551.80 จุด ลดลง 38.25 จุด มูลค่าการซื้อขาย 13,572.41 ล้านบาท
ล่าสุด ดัชนีปิดตลาดช่วงบ่ายที่ระดับ 551.80 จุด ลดลง 38.25 จุด เปลี่ยนแปลง -6.48% มูลค่าการซื้อขาย 14,408 ล้านบาท