xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นโลกดีดตัวรับศก.สหรัฐฯฟื้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน – ตลาดหุ้นทั่วโลกขานรับตัวเลขเศรษฐกิจมีนาคมของสหรัฐฯไม่ย่ำแย่อย่างที่หลายฝ่ายคาด ดันดัชนีในหลายแห่งสร้างสถิติใหม่ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยที่ได้รับอานิสงส์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 12.87 จุด วอลุ่มซื้อขายแตะ 15,000 ล้านบาท รายย่อยขายสุทธิทำกำไร 1.4 พันล้าน สถาบันเก็บไป 488 ล้านบาท ที่เหลือต่างชาติกวาดเรียบเฉลี่ยพันล้าน กลุ่มแบงก์ – พลังงานวิ่งนำ โบรกเกอร์เอือมม็อบเสื้อแดงปัจจัยลบที่คอยฉุดดัชนีบวกเพิ่มไม่มาก ให้แนวต้านรอบต่อไปที่ 440 จุด
หลังจากสหรัฐอเมริกา ประกาศยอดขายรถยนต์ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาร่วงลง 37% ปรับตัวลงน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ทำให้นักวิเคราะห์จำนวนมากมีมุมมองที่เป็นบวก ว่าภาวะตกต่ำในตลาดรถ ยนต์สหรัฐฯและพร้อมที่จะรีบาวด์ตามกลไกตลาด เพราะข้อมูลล่าสุดสะท้อนให้เห็นว่าอุตสาหกรรมรถยนต์มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น โดยในเรื่องนี้ ได้ส่งผลบวกในแง่จิตวิทยาแก่นักลงทุนทั่วโลก รวมทั้งในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งสังเกตุได้จากดัชนีตลาดหุ้นทุกตลาดวานนี้ (2มี.ค.) ปรับตัวสูงขึ้นโดยการสร้างสถิติใหม่ เพราะเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะฟื้นตัว หลังดัชนีอุตสาหกรรมเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 36.3 จุด จากระดับ 35.8 จุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และสูงกว่าประมาณการของนักวิเคราะห์ที่สำรวจความเห็น
ทั้งนี้ ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียวปิดที่ 8,719.78 จุด สูงสุดในรอบเกือบ 3 เดือน เพิ่มขึ้น 367.87 จุด หรือ 4.40% ขณะที่ดัชนี ฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดที่ 14,521.97 จุด เพิ่มขึ้น 1,002.43 จุด หรือ 7.41% ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ตลาดหุ้นจีน ปิดที่ 2,425.29 จุด สูงสุดในรอบ 7 เดือน เพิ่มขึ้น 17.27 จุด หรือ+0.7% ดัชนีเวทเต็ด ตลาดหุ้นไต้หวันปิดที่ 5,473.78 จุด เพิ่มขึ้น 159.33 จุด หรือ 3.00%
ด้าน ดัชนี คอมโพสิต ตลาดหุ้นโซลปิดที่ระดับ 1,276.97 จุด เพิ่มขึ้น 43.61 จุด 0หรือ 3.54% และละดัชนีสเตรทไทม์ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดที่ระดับ 1,803.34 จุด เพิ่มขึ้น 101.08 จุด หรือ 5.94%

**ปัจจัยภายนอกหนุนดัชนีหุ้นไทย**
สำหรับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยวานนี้ ปิดที่ระดับ 442.96 จุด เพิ่มขึ้น 12.87 จุด หรือ +2.99% มูลค่าการซื้อขาย 15,521.77 ล้านบาท โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 442.96 จุด และต่ำสุด 432.85 จุด ซึ่งเป็นไปตามตลาดภูมิภาค แต่ยังบวกได้น้อยกว่าตลาดต่างประเทศ เพราะมีปัจจัยการเมืองกดดันอยู่ ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงพบว่า เพิ่มขึ้น 257 หลักทรัพย์ ลดลง 65 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 91 หลักทรัพย์ โดยนักลงทุนสถาบันบันซื้อสุทธิ 488.02 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 915.66 ล้านบาท ดังนั้นแรงเทขายวานนี้จึงมาจากนักลงทุนทั่วไปที่เทขายสุทธิไป 1,403.68 ล้านบาท

**โบรกฯปลื้มสัญญานดีจากต่างแดน**
นายเตชธร ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเชียพลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวขึ้นตามตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้นฮ่องกง (ดัชนีฮั่งเส็ง) และตลาดหุ้นจีน (ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต) ที่เป็นปัจจัยในการผลักดันหลัก โดยกลุ่มดัชนีที่มีการปรับตัวสูงได้แก่ หุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มพลังงาน และกลุ่มโภคภัณฑ์
ทั้งนี้ถือเป็นภาวะที่ดีของตลาดหุ้นและนักลงทุน ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถประเมินได้ว่าการปรับตัวเช่นนี้จะเป็นไปในระยะสั้นหรือระยะยาว แต่การปรับตัวขึ้นในถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี ที่ดัชนีมีการดีดตัวขึ้นอย่างแรงจนสามารถทะลุผ่านแนวต้านที่ประเมินไว้ที่ 440 จุดได้ จนมาปิดตลาดที่ 442.96 จุด ได้
ส่วนปัจจัยปัญหาการเมืองภายในประเทศ จากเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นเพียงปัจจัยที่มีน้ำหนักเบาที่ส่งผลกระทบต่อความผันผวนของตลาดหุ้นบ้านเรา เนื่องจากปัจจัยจากเศรษฐกิจของต่างประเทศเป็นสาเหตุหลักที่มีน้ำหนักต่อการปรับตัวของตลาดหุ้นไทยมากกว่า แต่เรื่องการชุมนุมคงต้องจับตาดูกันต่อไป โดยประเมินแนวรับที่ 435 จุด แนวต้านที่ 448 จุด กลยุทธ์ลงทุนในหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน
นายคมสันต์ ปรมาภูติ รองผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น เหตุนักลงทุนส่วนใหญ่เข้าซื้อหุ้นในกลุ่มมาร์เก็ตขนาดใหญ่ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงิน หลังได้รับปัจจัยบวกจากกรณีที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ เตรียมปรับอันดับความเชื่อถือของกลุ่มประเทศในภูมิภาค และ ประเทศไทย มาเป็นระดับ Stable จากเดิมที่อันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยอยู่ที่ Negative ซึ่งหากมีการปรับอันดับในครั้งนี้ จะส่งผลดีโดยตรงต่อหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินแน่นอน
ทั้งนี้จากการที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแรง ตามตลาดหุ้นฮ่องกง (ดัชนีฮั่งเส็ง) ที่ปิดตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 1 พันจุด ประกอบกับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะฟื้นตัว ถือเป็นอีกสาเหตุที่สำคัญที่ช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้กว่า 10 จุด
อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากนัก เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค จากภาวการณ์กดดันของปัจจัยการเมืองภายในประเทศจากเหตุการณ์ชุมนุมนปช.ได้พยายามปลุกระดมผู้คนเข้ามาร่วมการชุมนุม พร้อมเตรียมชุมนุมใหญ่ในวันที่ 8 เม.ย. น่าจะเป็นแรงกดดันที่ทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยง จึงแนะหาจังหวะเก็บหุ้นพลังงาน อาทิ  PTT และ TOP อสังหาฯ ประเมินดัชนีตลาดให้แนวต้านที่ 440-450 จุด แนวรับ 438 จุด
นาวสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค รองผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) หรือ DBS เปิดเผยว่าวานนี้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้นตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาคเป็นส่วนใหญ่ โดยจากปัจจัยบวกของดัชนีดาวโจนส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากมีข่าวดีของตัวเลขเศรษฐกิจในเดือนมีนาคมน่าจะมีการฟื้นตัวขึ้น และส่งผลให้ตลาดหุ้นมีการปรับตัวขึ้นตามมาตลอดช่วงบ่าย ตามทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นภูมิภาค ประกอบกับปัญหาการเมืองในประเทศที่มีการชุมนุมจากกลุ่มนปช. โดยทั้งสองปัจจัยดังกล่าวอาจจะมีสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาจึงควรจับตาดู
ดังนั้น แนวโน้มวันนี้ (3 เม.ย.) คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยจะมีการแกว่งตัว เนื่องจากติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และผลการโหวตการผ่อนคลายกฎเกณฑ์การบันทึกตามราคาตลาด (Mark-to-Market) ของสหรัฐในคืนวันที่ 2เมษายน โดยประเมินกรอบแนวรับที่ 430-435 จุด แนวต้าน 450 จุด กลยุทธ์แนะนำนักลงทุนให้ถือเพื่อรอขาย
น.ส.จิตรา อมรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวขึ้น ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ปรับตัวขึ้นมากันอย่างทั่วหน้า ซึ่งจะเห็นได้ว่าสัญญาณด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯเริ่มที่จะเป็นบวกมากขึ้น ทั้งนี้ ภาพโดยรวมของต่างประเทศช่วยทำให้ตลาดบ้านเราปรับตัวขึ้นได้ และคาดว่าดาวโจนส์ก็น่าจะปรับตัวขึ้นอีกในคืนวันที่ 2เม.ย.นี้ อย่างไรก็ดี การที่ตลาดในประเทศปรับตัวขึ้นได้น้อยกว่าตลาดต่างประเทศ เป็นเพราะบ้านเรายังมีปัจจัยด้านการเมืองกดดันอยู่
ส่วนแนวโน้มการลงทุนในวันนี้(3 เม.ย.) ตลาดหุ้นไทยยังมีลุ้นที่จะบวกได้อีกแต่เป็นไปในกรอบแคบ ๆ โดยช่วงสั้นยังคงแนะนำ"เทรดดิ้ง"เนื่องจากอีกไม่นานจะมีการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนทั้งในสหรัฐฯและไทย ซึ่งคาดการณ์กันว่ายังคงแย่อยู่ และสัญญาณภาพตลาดฯในกรอบใหญ่ยังคงอ่อนแอ พร้อมให้แนวต้าน 444 จุด แนวรับ 434 จุด
กำลังโหลดความคิดเห็น