กิมเอ็งฯ ไตรมาสแรกปีนี้กำไรวูบ73% หรือลดลงจากปีก่อนถึง 121 ล้านบาท เหตุรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ลดจากปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันต่ำลง ขณะ ซีมิโก้ พลิกจากกำไรเป็นขาดทุน จากการรับรู้ผลขาดทุนจากบริษัทร่วมตามวิธีส่วนได้เสีย และตั้งเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่ม รวมทั้งธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ต่ำลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา
นายภูษิต แก้วมงคลศรี กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ( KEST) แจ้งงบไตรมาสแรกปีนี้ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 46 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 166.90 ล้านบาท หรือลดลง 120.85 ล้านบาท หรือลดลง 72.50% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 166.70 ล้านบาท
โดยไตรมาสนี้ บริษัทมีรายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง 216.17 ล้านบาท เป็น 241.83ล้านบาท หรือลดลง 47.20 % เนื่องมาจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของบริษัทลดลงจาก 3,129 ล้านบาท เป็น 1,718 ล้านบาท ผลจากการลดลงของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันโดยรวมของตลาดหลักทรัพย์จาก 19,248 ล้านบาท เป็น 8,851 ล้านบาท และไตรมาสนี้รับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของเงินลงทุนระยะยาวในบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง 14.66 ล้านบาท
ขณะที่บริษัทมีค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทลดลง 90.73 ล้านบาทเป็น 247.05 ล้านบาท หรือลดลง 26.86 % ส่วนใหญ่มีผลมาจากการลดลงของผลตอบแทนเจ้าหน้าที่การตลาดจากปริมาณการซื้อขายที่ลดลงและการตั้งค้างจ่ายค่าบำเหน็จกรรมการลดลงซึ่งเป็นไปตามผลการดำเนินงานลดลง
นายชัยภัทร ศรีวิสารวาจา ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) (ZMICO) ไตรมาสแรกปีนี้ว่า บริษัท ฯ มีผลขาดทุนสุทธิ 72 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันในปีก่อนซึ่งมีผลกำไรสุทธิ 32 ล้านบาทหรือลดลงกว่า 323% เนื่องจากในไตรมาสนี้บริษัทฯได้รับรู้ผลขาดทุนจากบริษัทร่วมตามวิธีส่วนได้เสีย โดยบริษัทตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ สำหรับลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 40 ล้านบาท และจากผลขาดทุนจากการดำเนินงานตามภาวะตลาดที่ซบเซาตามวิกฤตการเงินและสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ต่อเนื่องมาจากปลายปี 51 อีกทั้งปัจจัยลบจากทางด้านเศรษกิจและความวุ่นวายของการเมืองในประเทศตลอดไตรมาสแรกปีนี้ ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้าผ่านบริษัทลดลง 39 % ในขณะที่ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์รวมทั้งตลาดปรับตัวลดลงถึง 55%
โดยรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลงจาก 170 ล้านบาท เหลือเพียง 68 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 60% ทั้งนี้ นับจากเกิดวิกฤตการเงินในไตรมาส 3 ปี 51 ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง 30% เป็นเหตุให้นักลงทุนชะลอการลงทุน ส่วนปริมาณการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจากลูกค้าของบริษัทลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 64 % สอดคล้องกับปริมาณการซื้อขายโดยรวมในตลาดอนุพันธ์ที่ลดลง 40 % ส่งผลให้ รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าลดลง 27 % จาก 14 ล้านบาทเหลือ 10 ล้านบาท ส่วนธุรกิจวาณิชธนกิจ รายได้ค่าธรรมเนียมจากการรับประกันการจำหน่ายหลักทรัพย์ลดลง เนื่องจากบรรยากาศการลงทุนที่ซบเซาทำให้ลูกค้าเลื่อนการใช้บริการออกไป และบริษัทสามารถทำกำไรจากการลงทุนในหลักทรัพย์ตราสารทุน ขณะที่ค่าใช้จ่ายลดลงสอดคล้องกับปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทที่ลดลง
นายภูษิต แก้วมงคลศรี กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ( KEST) แจ้งงบไตรมาสแรกปีนี้ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 46 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 166.90 ล้านบาท หรือลดลง 120.85 ล้านบาท หรือลดลง 72.50% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 166.70 ล้านบาท
โดยไตรมาสนี้ บริษัทมีรายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง 216.17 ล้านบาท เป็น 241.83ล้านบาท หรือลดลง 47.20 % เนื่องมาจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของบริษัทลดลงจาก 3,129 ล้านบาท เป็น 1,718 ล้านบาท ผลจากการลดลงของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันโดยรวมของตลาดหลักทรัพย์จาก 19,248 ล้านบาท เป็น 8,851 ล้านบาท และไตรมาสนี้รับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของเงินลงทุนระยะยาวในบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง 14.66 ล้านบาท
ขณะที่บริษัทมีค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทลดลง 90.73 ล้านบาทเป็น 247.05 ล้านบาท หรือลดลง 26.86 % ส่วนใหญ่มีผลมาจากการลดลงของผลตอบแทนเจ้าหน้าที่การตลาดจากปริมาณการซื้อขายที่ลดลงและการตั้งค้างจ่ายค่าบำเหน็จกรรมการลดลงซึ่งเป็นไปตามผลการดำเนินงานลดลง
นายชัยภัทร ศรีวิสารวาจา ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) (ZMICO) ไตรมาสแรกปีนี้ว่า บริษัท ฯ มีผลขาดทุนสุทธิ 72 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันในปีก่อนซึ่งมีผลกำไรสุทธิ 32 ล้านบาทหรือลดลงกว่า 323% เนื่องจากในไตรมาสนี้บริษัทฯได้รับรู้ผลขาดทุนจากบริษัทร่วมตามวิธีส่วนได้เสีย โดยบริษัทตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ สำหรับลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 40 ล้านบาท และจากผลขาดทุนจากการดำเนินงานตามภาวะตลาดที่ซบเซาตามวิกฤตการเงินและสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ต่อเนื่องมาจากปลายปี 51 อีกทั้งปัจจัยลบจากทางด้านเศรษกิจและความวุ่นวายของการเมืองในประเทศตลอดไตรมาสแรกปีนี้ ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้าผ่านบริษัทลดลง 39 % ในขณะที่ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์รวมทั้งตลาดปรับตัวลดลงถึง 55%
โดยรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลงจาก 170 ล้านบาท เหลือเพียง 68 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 60% ทั้งนี้ นับจากเกิดวิกฤตการเงินในไตรมาส 3 ปี 51 ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง 30% เป็นเหตุให้นักลงทุนชะลอการลงทุน ส่วนปริมาณการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจากลูกค้าของบริษัทลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 64 % สอดคล้องกับปริมาณการซื้อขายโดยรวมในตลาดอนุพันธ์ที่ลดลง 40 % ส่งผลให้ รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าลดลง 27 % จาก 14 ล้านบาทเหลือ 10 ล้านบาท ส่วนธุรกิจวาณิชธนกิจ รายได้ค่าธรรมเนียมจากการรับประกันการจำหน่ายหลักทรัพย์ลดลง เนื่องจากบรรยากาศการลงทุนที่ซบเซาทำให้ลูกค้าเลื่อนการใช้บริการออกไป และบริษัทสามารถทำกำไรจากการลงทุนในหลักทรัพย์ตราสารทุน ขณะที่ค่าใช้จ่ายลดลงสอดคล้องกับปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทที่ลดลง