“คลัง” เร่งปรับแผนรับมือจัดเก็บรายได้ปี 52 แนวโน้มต่ำกว่าเป้า 2 แสนล้านบาท “ขุนคลัง” นัดถก 2 รมช.สัปดาห์นี้ เค้นวิธีเพิ่มมูลค่าการจัดเก็บภาษีสรรสามิต เครื่องดื่มกาเฟอีน โดยไม่มีแรงต้าน พร้อมปูทางไปยังเครื่องดื่มชูกำลัง และน้ำอัดลม ขณะที่กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกชา กาแฟ ยื่นหนังสือต้าน
นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงแนวโน้มการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล ในปี 2552 คาดว่า การจัดเก็บรายได้ของปีนี้ อาจต่ำกว่าเป้าหมายถึง 200,000 ล้านบาท ซึ่งทาง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะมีการนัดหารือกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังทั้ง 2 คน เพื่อหาแนวทางในการชดเชยรายได้ให้กับรัฐบาล ภายในสัปดาห์นี้ โดยในส่วนที่จะสามารถพิจารณาได้อาจอยู่ที่ภาษีสรรพสามิต ที่ นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้ดูแลอยู่
นอกจากนี้ อาจจะมีการพิจารณานำเงินหวยบนดินที่ค้างอยู่ประมาณ 7,000 ล้านบาท ออกมาใช้ แต่จะต้องกระทำอย่างไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุป
นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่ม กาเฟอีน โดยระบุว่า ขณะนี้ชุดคณะกรรมการพิจารณาการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตยังไม่ได้ข้อสรุปถึงรายละเอียดการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิต เครื่องดื่มกาเฟอีน และคาดว่า จะได้ข้อสรุปในเดือนเมษายน 2552 นี้
“แนวคิดจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเฉพาะเครื่องดื่มชา กาแฟ สำเร็จรูป ที่บรรจุกระป๋อง และเน้นสินค้าที่มีกาเฟอีนสูง ซึ่งมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 10 ของมูลค่าตลาดทั้งหมด และที่ผ่านมามีการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มชูกำลัง และน้ำอัดลมกระป๋องมาแล้ว ส่วนจะมีการเพิ่มภาษีหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา เพราะรัฐบาลต้องหารายได้เพิ่มในช่วงเศรษฐกิจถดถอย”
ทั้งนี้ เชื่อว่า การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มชา กาแฟ พร้อมดื่มนั้น จะไม่กระทบต่อสินค้าเกษตรและเกษตรกร แต่อาจส่งผลต่อผู้ประกอบการ ซึ่งอาจมีกำไรลดลงบ้าง แต่ควรเสียสละเพื่อชาติในช่วงภาวะวิกฤต
มีรายงานข่าวเพิ่มเติมว่า นายอนันต์ ดาโลดม นายกสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยสมาคมกาแฟและชาไทยและเกษตรกรกว่า 50 คน ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อคัดค้านนโยบายการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต สินค้าเครื่องดื่มชา กาแฟ เพื่อหวังเพิ่มรายได้ของรัฐ 30,000 ล้านบาทต่อปี
นายอนันต์ กล่าวว่า หากขึ้นภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มชา กาแฟ ภาคเอกชนจะมีต้นทุนสูงขึ้น และจะไปกดราคารับซื้อจากเกษตรกรทำให้ได้รับความเดือดร้อน เพราะไทยปลูกกาแฟประมาณ 40,000 ไร่ มีผลผลิต 10,000 ตันต่อปี สร้างรายได้ให้เกษตรกรถึง 30,000 ครอบครัว และมีการปลูกชาประมาณ 200,000 ไร่ สร้างรายได้ให้เกษตรกรถึง 50,000 ครอบครัว
นายธีรวัฒน์ วงศ์วรทัต นายกสมาคมกาแฟและชาไทย กล่าวว่า ต้องการให้กระทรวงการคลังเปลี่ยนแนวคิดที่มองว่า ชาและกาแฟเป็นเครื่องดื่มทำลายสุขภาพ เพราะเป็นเครื่องดื่มที่นิยมกันทั่วโลก และยังมีส่วนดูแลสุขภาพ อีกทั้งยังเป็นโครงการของรัฐบาลและองค์การต่างๆ สนับสนุนให้องค์กรภาคเหนือปลูกชา กาแฟ แทนฝิ่น จึงต้องการให้กระทรวงการคลังทบทวนแนวคิดดังกล่าว