'แบตเตอรี่3K' เล็งหั่นลดเป้ารายได้ปีนี้ลง และตัดงบการตลาด ไม่เน้นเพิ่มยอดขาย มุ่งบริหารสภาพคล่องรุกพัฒนาคุณภาพบุคลากร และดูแลกระแสเงินสด เพื่อประคองธุรกิจรอดในภาวะวิกฤต รอเศรษฐกิจฟื้นตัวพร้อมเดินหน้าต่อได้ทันที คาดไตรมาส 1 ปีนี้ยอดขายปรับลดลง 15-20%
นายวีรวัฒน์ ขอไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยสโตเรจ แบตเตอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ BAT-3K เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นขณะนี้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตรถยนต์ และมีผลต่อการจำหน่ายสินค้าของบริษัทในฐานะผู้ผลิตชิ้นส่วน ประกอบการยานยนต์เช่นกัน โดยคาดว่ายอดขายในไตรมาส 1/2552 จะลดลง 15-20%
ขณะที่ปี 51 บริษัทมีผลการดำเนินงานขาดทุน 472 ล้านบาท ขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 296 ล้านบาท เนื่องจากอัตรา กำไรขั้นต้นต่ำกว่าปี 50 เพราะราคาขายที่ลดลงสัมพันธ์ตามราคาตะกั่วโลกและขาดทุนจาก สต๊อกวัตถุดิบและสัญญาซื้อขายตะกั่วล่วงหน้า 154.52 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการบันทึกตามมาตรฐานการบัญชี เนื่องจากราคาตะกั่วบริสุทธิ์ ในตลาด London Metal Exchange (LME) ปรับตัวลดลงมากจาก 2,600 เหรียญสหรัฐต่อตัน ในต้นปี 51 เหลือ 970 เหรียญสหรัฐต่อตัน ณ เดือนธันวาคม 51
ทั้งนี้ จากภาวะดังกล่าวส่งผลให้ปีนี้ บริษัทจะไม่มุ่งเน้นเพิ่มยอดขายสินค้า แต่หันกลับมามองการบริหารต้นทุนค่าใช้จ่าย และสภาพคล่อง ทางการเงินมากกว่า เพราะทุกคนต้องอย่าลืมว่า ทุกธุรกิจในคราวนี้ ได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด ดังนั้นจึงเชื่อว่าแม้จะจัดโปรโมชันออกไปมากมายเท่าไร ก็เชื่อว่าไม่สามารถกระตุ้นยอดขายให้เติบโตเพิ่มสูงขึ้นมาทดแทนได้ จึงทำให้ใน ปีนี้บริษัทลดงบการตลาดและการโฆษณาลงจาก ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 60 ล้านบาท เหลือเพียง 40 ล้านบาท
'การตลาดถือว่ายังเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อรับกับภาวะที่เกิดขึ้น เราต้องปรับลดงบประมาณ ดังกล่าวลง โดยการออกโปรโมชันต่างๆ ในปีนี้ จะเป็นในรูปแบบออกแคมเปญ เป็นจังหวะหรือ ตามช่วงเวลาที่เหมาะสม'
นอกเหนือจากการรักษาสภาพคล่องแล้ว BAT-3K ยังให้ความสำคัญต่อสภาพคล่องทาง การเงินในส่วนลูกค้าหรือดีลเลอร์ของบริษัทด้วย โดยได้ส่งทีมงานเข้าไปช่วยดูแลลูกค้าบางรายบ้างแล้ว ในเรื่องของกระแสเงินสด และการทำสต๊อก เพราะถือว่าเรื่องนี้มีความสำคัญในวิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้มาก ส่วนการส่งออกไปต่าง ประเทศ เป็นเรื่องที่บริษัทกำลังพิจารณาหากไม่มี การตอบรับมากในช่วงนี้ อาจต้องปรับลดบ้าง
'ยอดขายปีนี้ลดลงไม่เป็นไร ที่สำคัญคือเรื่องกระแสเงินสดมากกว่า หากเราหมุนเวียนกระแสเงินสดไม่ทันจะมีปัญหาได้ เราเชื่อว่าอาจจะเป็นอย่านี้ไปอีก 1-2 ปี แต่ต้องหาวิธีเพื่อ อยู่ให้ได้ ดังนั้นกระแสเงินสด จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว และเรามีสภาพคล่องทางการเงินดี เราก็พร้อมที่จะเข้ามาลงทุน หรือดำเนินธุรกิจได้เลยทันที '
โดย BAT-3K เชื่อว่าบริษัทอาจต้องปรับลดเป้าหมายรายได้ปี 52 ลง ซึ่งขึ้นอยู่กับที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทก่อนว่าจะกำหนดแนวทางการดำเนินงานภายใต้ภาวะเช่นนี้ อย่างไร ขณะที่บริษัทจะให้ความสำคัญด้านการ พัฒนาบุคลากรมากขึ้น หลังจากที่เริ่มเห็นแววซบเซามาแต่ไตรมาส 3 ปี 51 เพราะเศรษฐกิจชะลอตัว เพราะหากรถยนต์เชิงพาณิชย์ใช้งานน้อยลงย่อมมีผลถึงความต้องการสินค้าของบริษัทไปด้วย แต่เริ่มได้รับผลกระทบมากขึ้น เมื่อบรรดาผู้ผลิตรถยนต์เริ่มมีการออกมาประกาศได้รับผลกระทบอย่างมาก แต่แบตเตอรี่เป็นสิ่งที่รถยนต์ทุกคันจำเป็นต้องใช้
สำหรับกระแสข่าวที่ว่าภาครัฐบาลอาจนำมาตรการลดภาษีรถยนต์ใหม่ออกมาใช้ เพื่อให้ราคารถยนต์ต่ำลง และช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายภาคประชาชนนั้น เชื่อว่าจะเป็นเรื่องดีถ้ามีการกระตุ้นแบบจริงจัง เพราะจะช่วยในด้านยอดขายรถยนต์ แต่ในส่วนของบริษัทจะได้รับผลดีเพียงส่วนน้อย เพราะปริมาณยอดการผลิตรถยนต์ใหม่ในแต่ละปีมีไม่กี่แสนคัน และสินค้าของบริษัทส่วนใหญ่จะมียอดขายในส่วนรถยนต์เก่ามากกว่า
นายวีรวัฒน์ให้ความเห็นถึงภาพรวมในการดำเนินธุรกิจว่า ยอดขายแบตเตอรี่โดยรวมปีนี้จะเติบโตลดลงอย่างน้อย 10-15% จากมูลค่า ตลาดรวม 5,000 ล้านบาท ซึ่งแนวทางการทำตลาดในปีนี้ บริษัทกระจายความเสี่ยงโดยเพิ่มช่องทางจำหน่ายให้ครอบคลุมมากขึ้นจากวิธีขยาย ตัวแทนจำหน่ายเป็น 800 แห่ง แม้ว่าแนวโน้มของ ราคาตะกั่ว ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักจะผันผวน โดยราคาเฉลี่ยของปีนี้อยู่ที่ 1,150 เหรียญสหรัฐต่อตัน ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตแบตเตอรี่ 300,000 ลูกต่อปี แบ่งเป็นการผลิตเพื่อรองรับตลาดในประเทศ 50% ที่เหลือรองรับการส่งออก
นายวีรวัฒน์ ขอไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยสโตเรจ แบตเตอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ BAT-3K เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นขณะนี้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตรถยนต์ และมีผลต่อการจำหน่ายสินค้าของบริษัทในฐานะผู้ผลิตชิ้นส่วน ประกอบการยานยนต์เช่นกัน โดยคาดว่ายอดขายในไตรมาส 1/2552 จะลดลง 15-20%
ขณะที่ปี 51 บริษัทมีผลการดำเนินงานขาดทุน 472 ล้านบาท ขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 296 ล้านบาท เนื่องจากอัตรา กำไรขั้นต้นต่ำกว่าปี 50 เพราะราคาขายที่ลดลงสัมพันธ์ตามราคาตะกั่วโลกและขาดทุนจาก สต๊อกวัตถุดิบและสัญญาซื้อขายตะกั่วล่วงหน้า 154.52 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการบันทึกตามมาตรฐานการบัญชี เนื่องจากราคาตะกั่วบริสุทธิ์ ในตลาด London Metal Exchange (LME) ปรับตัวลดลงมากจาก 2,600 เหรียญสหรัฐต่อตัน ในต้นปี 51 เหลือ 970 เหรียญสหรัฐต่อตัน ณ เดือนธันวาคม 51
ทั้งนี้ จากภาวะดังกล่าวส่งผลให้ปีนี้ บริษัทจะไม่มุ่งเน้นเพิ่มยอดขายสินค้า แต่หันกลับมามองการบริหารต้นทุนค่าใช้จ่าย และสภาพคล่อง ทางการเงินมากกว่า เพราะทุกคนต้องอย่าลืมว่า ทุกธุรกิจในคราวนี้ ได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด ดังนั้นจึงเชื่อว่าแม้จะจัดโปรโมชันออกไปมากมายเท่าไร ก็เชื่อว่าไม่สามารถกระตุ้นยอดขายให้เติบโตเพิ่มสูงขึ้นมาทดแทนได้ จึงทำให้ใน ปีนี้บริษัทลดงบการตลาดและการโฆษณาลงจาก ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 60 ล้านบาท เหลือเพียง 40 ล้านบาท
'การตลาดถือว่ายังเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อรับกับภาวะที่เกิดขึ้น เราต้องปรับลดงบประมาณ ดังกล่าวลง โดยการออกโปรโมชันต่างๆ ในปีนี้ จะเป็นในรูปแบบออกแคมเปญ เป็นจังหวะหรือ ตามช่วงเวลาที่เหมาะสม'
นอกเหนือจากการรักษาสภาพคล่องแล้ว BAT-3K ยังให้ความสำคัญต่อสภาพคล่องทาง การเงินในส่วนลูกค้าหรือดีลเลอร์ของบริษัทด้วย โดยได้ส่งทีมงานเข้าไปช่วยดูแลลูกค้าบางรายบ้างแล้ว ในเรื่องของกระแสเงินสด และการทำสต๊อก เพราะถือว่าเรื่องนี้มีความสำคัญในวิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้มาก ส่วนการส่งออกไปต่าง ประเทศ เป็นเรื่องที่บริษัทกำลังพิจารณาหากไม่มี การตอบรับมากในช่วงนี้ อาจต้องปรับลดบ้าง
'ยอดขายปีนี้ลดลงไม่เป็นไร ที่สำคัญคือเรื่องกระแสเงินสดมากกว่า หากเราหมุนเวียนกระแสเงินสดไม่ทันจะมีปัญหาได้ เราเชื่อว่าอาจจะเป็นอย่านี้ไปอีก 1-2 ปี แต่ต้องหาวิธีเพื่อ อยู่ให้ได้ ดังนั้นกระแสเงินสด จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว และเรามีสภาพคล่องทางการเงินดี เราก็พร้อมที่จะเข้ามาลงทุน หรือดำเนินธุรกิจได้เลยทันที '
โดย BAT-3K เชื่อว่าบริษัทอาจต้องปรับลดเป้าหมายรายได้ปี 52 ลง ซึ่งขึ้นอยู่กับที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทก่อนว่าจะกำหนดแนวทางการดำเนินงานภายใต้ภาวะเช่นนี้ อย่างไร ขณะที่บริษัทจะให้ความสำคัญด้านการ พัฒนาบุคลากรมากขึ้น หลังจากที่เริ่มเห็นแววซบเซามาแต่ไตรมาส 3 ปี 51 เพราะเศรษฐกิจชะลอตัว เพราะหากรถยนต์เชิงพาณิชย์ใช้งานน้อยลงย่อมมีผลถึงความต้องการสินค้าของบริษัทไปด้วย แต่เริ่มได้รับผลกระทบมากขึ้น เมื่อบรรดาผู้ผลิตรถยนต์เริ่มมีการออกมาประกาศได้รับผลกระทบอย่างมาก แต่แบตเตอรี่เป็นสิ่งที่รถยนต์ทุกคันจำเป็นต้องใช้
สำหรับกระแสข่าวที่ว่าภาครัฐบาลอาจนำมาตรการลดภาษีรถยนต์ใหม่ออกมาใช้ เพื่อให้ราคารถยนต์ต่ำลง และช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายภาคประชาชนนั้น เชื่อว่าจะเป็นเรื่องดีถ้ามีการกระตุ้นแบบจริงจัง เพราะจะช่วยในด้านยอดขายรถยนต์ แต่ในส่วนของบริษัทจะได้รับผลดีเพียงส่วนน้อย เพราะปริมาณยอดการผลิตรถยนต์ใหม่ในแต่ละปีมีไม่กี่แสนคัน และสินค้าของบริษัทส่วนใหญ่จะมียอดขายในส่วนรถยนต์เก่ามากกว่า
นายวีรวัฒน์ให้ความเห็นถึงภาพรวมในการดำเนินธุรกิจว่า ยอดขายแบตเตอรี่โดยรวมปีนี้จะเติบโตลดลงอย่างน้อย 10-15% จากมูลค่า ตลาดรวม 5,000 ล้านบาท ซึ่งแนวทางการทำตลาดในปีนี้ บริษัทกระจายความเสี่ยงโดยเพิ่มช่องทางจำหน่ายให้ครอบคลุมมากขึ้นจากวิธีขยาย ตัวแทนจำหน่ายเป็น 800 แห่ง แม้ว่าแนวโน้มของ ราคาตะกั่ว ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักจะผันผวน โดยราคาเฉลี่ยของปีนี้อยู่ที่ 1,150 เหรียญสหรัฐต่อตัน ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตแบตเตอรี่ 300,000 ลูกต่อปี แบ่งเป็นการผลิตเพื่อรองรับตลาดในประเทศ 50% ที่เหลือรองรับการส่งออก