บอร์ด “TSFC” เต้น ผู้ถือหุ้นส่งสัญญาณเมินแผนเพิ่มทุน กระโดดเข้ากระบวนการฟื้นฟูกิจการ ภายใต้ พ.ร.บ.ล้มละลาย ระบุ เป็นแนวทางแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด แถมยังคุ้มครองเจ้าหนี้ได้ ขณะเดียวกัน ยังลดข้อจำกัด ในการปรับโครงสร้างทุนที่จะเสนอต่อผู้ถือหุ้น ด้าน “ธีระชัย” จี้ แจงฐานะการเงิน-หนี้สิน แก่เจ้าหนี้เห็นชอบ ด้าน บลจ.ขอดูแผนฟื้นฟู ก่อนตัดสินใจไฟเขียวหรือไม่
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า ตามที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนได้มีคำสั่งให้บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (TSFC) เพิ่มเงินกองทุนให้เพียงพอตามที่กฎหมายกำหนด เป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 279 ล้านบาท โดยให้จัดส่งหลักฐานเป็นหนังสือที่แสดงว่ามีผู้ถือหุ้นแสดงเจตนาแบบไม่มีเงื่อนไขที่จะจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนหรือหุ้นกู้ด้อยสิทธิต่อสำนักงาน ก.ล.ต.ภายในวันที่ 11 ธันวาคม 2551 พร้อมสั่งห้ามขยายกิจการและลงทุนเพิ่มเติมในตราสารที่มีความเสี่ยง
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2551 TSFC ได้มีหนังสือแจ้งว่าที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติให้มีการเพิ่มทุนภายในวันที่ 26 ธันวาคม 2551 ซึ่งคณะกรรมการบริษัท เห็นว่า อาจมีแนวโน้มที่ผู้ถือหุ้นจะไม่ซื้อหุ้นเพิ่มทุน คณะกรรมการบริษัทจึงมีมติที่จะดำเนินการเพื่อนำ TSFC เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการภายใต้ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 โดยคณะกรรมการบริษัทเห็นว่าการฟื้นฟูกิจการจะเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาที่สามารถให้ความคุ้มครองเจ้าหนี้ของบริษัท และลดข้อจำกัดในการปรับโครงสร้างทุนที่บริษัทจะเสนอแผนต่อผู้ถือหุ้นเพื่อลดทุนและเพิ่มทุนเพื่อสะสางผลขาดทุน ซึ่งจะทำให้ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนมีความมั่นใจในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ TSFC
โดยหลังจากคณะกรรมการกำกับตลาดทุนพิจารณาแนวทางในการแก้ไขฐานะการเงินของ TSFC แล้ว เห็นว่า เพื่อประโยชน์ของผู้ที่มีส่วนได้เสียของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้ ลูกค้า และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง คณะกรรมการกำกับตลาดทุนจึงมีมติให้เวลาแก่ TSFC เพื่อจัดทำเอกสารประกอบการขอความยินยอมในการฟื้นฟูกิจการของ TSFC ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. โดยให้ส่งเอกสารเพื่อประกอบการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต.ภายในวันที่ 12 มกราคม 2552
นายธีระชัย กล่าวว่า จากการที่คณะกรรมการของ TSFC ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า บริษัทมีปัญหาด้านฐานะการเงินอย่างร้ายแรง ถึงขั้นมีมติให้ TSFC ต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการสำนักงาน ก.ล.ต.เห็นว่า TSFC ควรจะต้องเปิดเผยข้อมูลฐานะการเงินของบริษัทที่เป็นปัจจุบันที่แสดงถึงสินทรัพย์แต่ละประเภทตามราคาตลาดและหนี้สินให้เจ้าหนี้และผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบโดยทันที เพื่อที่บุคคลเหล่านี้จะสามารถตัดสินใจในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
**บลจ.ขอดูแผนฟื้นฟูก่อนไฟเขียว**
ด้าน นางวรวรรณ ธาราภูมิ ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ บริษัทสมาชิกที่มีกองทุนเปิดที่ลงทุนใน TSFC ได้ทำการ Set Aside โดยการแยกสินทรัพย์ในส่วนที่ลงทุนใน TSFC ออกไปต่างหากแล้ว ซึ่งการที่ TSFC เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการดังกล่าว ก็เป็นหน้าที่ของบริษัทจัดการนั้นๆ ว่าจะจัดการอย่างไร แต่แนวทางที่สามารถทำได้ คือ การนำพอร์ตดังกล่าวไปขายในตลาด เพราะพอร์ตดังกล่าวเป็นพอร์ตหุ้น ซึ่งหลังจากได้เงินมาแล้ว ก็สามารถนำไปชำระคืนให้กับผู้ถือหน่วยที่อยู่ในบัญชีที่ได้ทำ Set Aside เอาไว้แล้ว
ด้านแหล่งข่าวบริษัทจัดการกองทุน หนึ่งในเจ้าหนี้รายหนึ่ง เปิดเผยว่า การเข้าสู่แผนฟื้นฟูของ TSFC ไม่ได้หมายความว่าเขาล้มละลาย แต่การเข้าสู่แผนฟื้นฟูดังกล่าว อาจจะเป็นการใช้ช่องทางทางกฎหมาย เพื่อให้การดำเนินการเพิ่มทุนต่างๆ สามารถทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งหลังจากนี้ เราก็ต้องดูว่า แผนฟื้นฟูของ TSFC เป็นอย่างไร แล้วเราเห็นด้วยกับแผนนั้นหรือไม่ ซึ่งเราในฐานะเจ้าหนี้ สามารถยอมรับหรือไม่ยอมรับกับแผนฟื้นฟูดังกล่าวได้ หากเป็นว่าเป็นผประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหน่วย
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า ตามที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนได้มีคำสั่งให้บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (TSFC) เพิ่มเงินกองทุนให้เพียงพอตามที่กฎหมายกำหนด เป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 279 ล้านบาท โดยให้จัดส่งหลักฐานเป็นหนังสือที่แสดงว่ามีผู้ถือหุ้นแสดงเจตนาแบบไม่มีเงื่อนไขที่จะจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนหรือหุ้นกู้ด้อยสิทธิต่อสำนักงาน ก.ล.ต.ภายในวันที่ 11 ธันวาคม 2551 พร้อมสั่งห้ามขยายกิจการและลงทุนเพิ่มเติมในตราสารที่มีความเสี่ยง
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2551 TSFC ได้มีหนังสือแจ้งว่าที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติให้มีการเพิ่มทุนภายในวันที่ 26 ธันวาคม 2551 ซึ่งคณะกรรมการบริษัท เห็นว่า อาจมีแนวโน้มที่ผู้ถือหุ้นจะไม่ซื้อหุ้นเพิ่มทุน คณะกรรมการบริษัทจึงมีมติที่จะดำเนินการเพื่อนำ TSFC เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการภายใต้ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 โดยคณะกรรมการบริษัทเห็นว่าการฟื้นฟูกิจการจะเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาที่สามารถให้ความคุ้มครองเจ้าหนี้ของบริษัท และลดข้อจำกัดในการปรับโครงสร้างทุนที่บริษัทจะเสนอแผนต่อผู้ถือหุ้นเพื่อลดทุนและเพิ่มทุนเพื่อสะสางผลขาดทุน ซึ่งจะทำให้ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนมีความมั่นใจในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ TSFC
โดยหลังจากคณะกรรมการกำกับตลาดทุนพิจารณาแนวทางในการแก้ไขฐานะการเงินของ TSFC แล้ว เห็นว่า เพื่อประโยชน์ของผู้ที่มีส่วนได้เสียของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้ ลูกค้า และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง คณะกรรมการกำกับตลาดทุนจึงมีมติให้เวลาแก่ TSFC เพื่อจัดทำเอกสารประกอบการขอความยินยอมในการฟื้นฟูกิจการของ TSFC ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. โดยให้ส่งเอกสารเพื่อประกอบการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต.ภายในวันที่ 12 มกราคม 2552
นายธีระชัย กล่าวว่า จากการที่คณะกรรมการของ TSFC ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า บริษัทมีปัญหาด้านฐานะการเงินอย่างร้ายแรง ถึงขั้นมีมติให้ TSFC ต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการสำนักงาน ก.ล.ต.เห็นว่า TSFC ควรจะต้องเปิดเผยข้อมูลฐานะการเงินของบริษัทที่เป็นปัจจุบันที่แสดงถึงสินทรัพย์แต่ละประเภทตามราคาตลาดและหนี้สินให้เจ้าหนี้และผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบโดยทันที เพื่อที่บุคคลเหล่านี้จะสามารถตัดสินใจในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
**บลจ.ขอดูแผนฟื้นฟูก่อนไฟเขียว**
ด้าน นางวรวรรณ ธาราภูมิ ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ บริษัทสมาชิกที่มีกองทุนเปิดที่ลงทุนใน TSFC ได้ทำการ Set Aside โดยการแยกสินทรัพย์ในส่วนที่ลงทุนใน TSFC ออกไปต่างหากแล้ว ซึ่งการที่ TSFC เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการดังกล่าว ก็เป็นหน้าที่ของบริษัทจัดการนั้นๆ ว่าจะจัดการอย่างไร แต่แนวทางที่สามารถทำได้ คือ การนำพอร์ตดังกล่าวไปขายในตลาด เพราะพอร์ตดังกล่าวเป็นพอร์ตหุ้น ซึ่งหลังจากได้เงินมาแล้ว ก็สามารถนำไปชำระคืนให้กับผู้ถือหน่วยที่อยู่ในบัญชีที่ได้ทำ Set Aside เอาไว้แล้ว
ด้านแหล่งข่าวบริษัทจัดการกองทุน หนึ่งในเจ้าหนี้รายหนึ่ง เปิดเผยว่า การเข้าสู่แผนฟื้นฟูของ TSFC ไม่ได้หมายความว่าเขาล้มละลาย แต่การเข้าสู่แผนฟื้นฟูดังกล่าว อาจจะเป็นการใช้ช่องทางทางกฎหมาย เพื่อให้การดำเนินการเพิ่มทุนต่างๆ สามารถทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งหลังจากนี้ เราก็ต้องดูว่า แผนฟื้นฟูของ TSFC เป็นอย่างไร แล้วเราเห็นด้วยกับแผนนั้นหรือไม่ ซึ่งเราในฐานะเจ้าหนี้ สามารถยอมรับหรือไม่ยอมรับกับแผนฟื้นฟูดังกล่าวได้ หากเป็นว่าเป็นผประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหน่วย
