บลจ.บัวหลวง คาด “ทีเอสเอฟซี” เพิ่มทุนไม่เสร็จภายในเดือนนี้ อาจถูก “ทริส” หั่นเรตติ้งอีกรอบ แต่มั่นใจฐานะการเงินสามารถใช้หนี้ตัวบี/อี 6 พันล้านบาทได้ เหตุจากมีเงินลงทุนรวม 1.2 หมื่นล้านบาท ด้านก.ล.ต.แจง หาก TSFC ปิดกิจการไม่กระทบผู้ถือหุ้นจากคืนทุนแล้ว ยันฐานะการเงินโบรกเกอร์แข็งแกร่งจากติดตามเป็นรายวัน
นางจารุพรรณ อินทรรุ่ง ผู้อำนวยการ ฝ่ายงานเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ในช่วงสถานการณ์การลงทุนที่ไม่ปกติในช่วงนี้ ก.ล.ต. ได้ติดตามข้อมูลเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (Net Capital Rule: NCR) ของบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ต่างๆอย่างละเอียดยิ่งขึ้น โดยได้แจ้งให้บล.ทุกแห่งส่งรายงาน NCR ให้แก่ก.ล.ต.ทุกวัน ต่างจากก่อนหน้านี้ที่จะพิจารณาเป็นรายเดือน ซึ่งรายละเอียดของข้อมูลจะเกี่ยวข้องกับการยืมหุ้นเพื่อขายล่วงหน้า (Short Sell) คุณภาพของการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้น โลน) บริการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL) รวมถึงธุรกรรมอื่นๆ ที่มีผลต่อเงินกองทุน
จากการตรวจสอบที่ผ่านมาพบว่า สถานะทางเงินกองทุนของบล.ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง เกินกว่าที่ก.ล.ต.กำหนดไว้ว่าต้องดำรงเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิที่อัตราขั้นต่ำ 7% ของหนี้สินทั่วไปทุกสิ้นวันทำการ หรือมีเงินกองทุนเพียงพอที่จะชำระหนี้สินทั้งหมดได้ โดยส่วนที่ก.ล.ต.จะนับรวมเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสามารถนำมาชำระหนี้ได้นั้น จะอยู่ในรูปแบบ เงินสด เงินฝาก พอร์ตลงทุน รวมถึงลูกหนี้มาร์จิ้น ซึ่งทั้งหมดสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันที
สำหรับกรณีของบริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ (TSFC) ที่ประสบปัญหาการดำรงสถานะเงินกองทุนนั้น สืบเนื่องจากธุรกิจดังกล่าวมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการปล่อยสินเชื่อให้แก่บล. ส่วนเม็ดเงินที่เหลือจากปล่อยสินเชื่อ บริษัทได้นำไปใช้เพื่อลงทุน จึงส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาด้านเงินกองทุนในที่สุด ซึ่งจะเห็นได้ว่าแตกต่างจากธุรกิจบล.อื่นที่มีรายได้จากหลายส่วน
นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง และในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่า TSFC คงไม่สามารถเพิ่มทุนเสร็จภายในสิ้นเดือนนี้ เนื่องจาก ผู้ถือหุ้นTSFC เป็นสถาบันการเงินและหน่วยงานของรัฐถือหุ้น ทำให้ต้องใช้เวลาในการพิจารณาอนุมัติว่าจะเพิ่มทุนให้กับ TSFC หรือไม่ ดังนั้นหากไม่สามารถเพิ่มทุนได้อาจจะทำให้บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงเป็นครั้งที่ 2
“TSFC จะยังคงมีความสามารถในการจ่ายหนี้ตัวเงินระยะสั้น (บีอี) ที่เสนอขายแก่สถาบันการเงินต่างมูลค่า 6,000 ล้านบาทได้ เมื่อครบกำหนด เพราะ TSFC มีการลงทุนในกองทุน ตราสารหนี้ หุ้น พันธบัตร มูลค่ารวม 1.2 หมื่นล้านบาท ที่สามารถขายและนำเงินมาชำระหนี้ตัวบีอีได้”
ด้านนางดวงมน จึงเสถียรทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายกำกับธุรกิจนายหน้าและค้าหลักทรัพย์ สำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวว่า ผู้ถือหุ้น TSFC คงจะได้มีรับผลกระทบหากไม่สามารถเพิ่มทุนได้ เนื่องจากมูลค่าการลงทุนไม่มาก ซึ่งหากถือหุ้น1% จะใช้เงินลงทุนเพียง 10 ล้านบาท เท่านั้น โดยที่ผ่านมา TSFC ได้จ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงมาตลอด ดังนั้นผู้ที่ถือหุ้นใน TSFC นั้นได้ผลตอบแทนสูงคุ้มกับการลงทุนแล้ว ซึ่งจะไม่สร้างความเสียหายให้กับผู้ที่ถือหุ้น แม้ทางTSFCจะไม่มีการทำธุรกิจแล้วก็ตามลูกค้า
นางจารุพรรณ อินทรรุ่ง ผู้อำนวยการ ฝ่ายงานเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ในช่วงสถานการณ์การลงทุนที่ไม่ปกติในช่วงนี้ ก.ล.ต. ได้ติดตามข้อมูลเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (Net Capital Rule: NCR) ของบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ต่างๆอย่างละเอียดยิ่งขึ้น โดยได้แจ้งให้บล.ทุกแห่งส่งรายงาน NCR ให้แก่ก.ล.ต.ทุกวัน ต่างจากก่อนหน้านี้ที่จะพิจารณาเป็นรายเดือน ซึ่งรายละเอียดของข้อมูลจะเกี่ยวข้องกับการยืมหุ้นเพื่อขายล่วงหน้า (Short Sell) คุณภาพของการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้น โลน) บริการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL) รวมถึงธุรกรรมอื่นๆ ที่มีผลต่อเงินกองทุน
จากการตรวจสอบที่ผ่านมาพบว่า สถานะทางเงินกองทุนของบล.ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง เกินกว่าที่ก.ล.ต.กำหนดไว้ว่าต้องดำรงเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิที่อัตราขั้นต่ำ 7% ของหนี้สินทั่วไปทุกสิ้นวันทำการ หรือมีเงินกองทุนเพียงพอที่จะชำระหนี้สินทั้งหมดได้ โดยส่วนที่ก.ล.ต.จะนับรวมเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสามารถนำมาชำระหนี้ได้นั้น จะอยู่ในรูปแบบ เงินสด เงินฝาก พอร์ตลงทุน รวมถึงลูกหนี้มาร์จิ้น ซึ่งทั้งหมดสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันที
สำหรับกรณีของบริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ (TSFC) ที่ประสบปัญหาการดำรงสถานะเงินกองทุนนั้น สืบเนื่องจากธุรกิจดังกล่าวมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการปล่อยสินเชื่อให้แก่บล. ส่วนเม็ดเงินที่เหลือจากปล่อยสินเชื่อ บริษัทได้นำไปใช้เพื่อลงทุน จึงส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาด้านเงินกองทุนในที่สุด ซึ่งจะเห็นได้ว่าแตกต่างจากธุรกิจบล.อื่นที่มีรายได้จากหลายส่วน
นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง และในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่า TSFC คงไม่สามารถเพิ่มทุนเสร็จภายในสิ้นเดือนนี้ เนื่องจาก ผู้ถือหุ้นTSFC เป็นสถาบันการเงินและหน่วยงานของรัฐถือหุ้น ทำให้ต้องใช้เวลาในการพิจารณาอนุมัติว่าจะเพิ่มทุนให้กับ TSFC หรือไม่ ดังนั้นหากไม่สามารถเพิ่มทุนได้อาจจะทำให้บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงเป็นครั้งที่ 2
“TSFC จะยังคงมีความสามารถในการจ่ายหนี้ตัวเงินระยะสั้น (บีอี) ที่เสนอขายแก่สถาบันการเงินต่างมูลค่า 6,000 ล้านบาทได้ เมื่อครบกำหนด เพราะ TSFC มีการลงทุนในกองทุน ตราสารหนี้ หุ้น พันธบัตร มูลค่ารวม 1.2 หมื่นล้านบาท ที่สามารถขายและนำเงินมาชำระหนี้ตัวบีอีได้”
ด้านนางดวงมน จึงเสถียรทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายกำกับธุรกิจนายหน้าและค้าหลักทรัพย์ สำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวว่า ผู้ถือหุ้น TSFC คงจะได้มีรับผลกระทบหากไม่สามารถเพิ่มทุนได้ เนื่องจากมูลค่าการลงทุนไม่มาก ซึ่งหากถือหุ้น1% จะใช้เงินลงทุนเพียง 10 ล้านบาท เท่านั้น โดยที่ผ่านมา TSFC ได้จ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงมาตลอด ดังนั้นผู้ที่ถือหุ้นใน TSFC นั้นได้ผลตอบแทนสูงคุ้มกับการลงทุนแล้ว ซึ่งจะไม่สร้างความเสียหายให้กับผู้ที่ถือหุ้น แม้ทางTSFCจะไม่มีการทำธุรกิจแล้วก็ตามลูกค้า
