เอกชนเชื่อมาตรการลดภาษีอสังหาฯ ดอกเบี้ยลด 1% ช่วยพลิกฟื้นภาคอสังหาฯ ปี 52 เป็นบวก จากที่ปี 51 คาดติดลบ 5-10% ระบุน้ำมันลดบ้านกำลังก่อสร้างรับอานิสงส์ต้นทุนวัสดุลด 8-10% ด้าน 3 สมาคมอสังหาฯประกาศเดินหน้าเสนอขยายเวลาเช่าอสังหาฯของชาวต่างชาติเป็น 50 ปี ต่อรัฐบาลชุดใหม่ หวังเรียกลูกค้าต่างชาติกลับมาซื้อบ้าน
แม้ว่านักธุรกิจหลายฝ่ายจะมองว่า เศรษฐกิจไทยปี 2552 จะเข้าสู่ภาวะย่ำแย่กว่าปี 2551 มากจากปัจจัยลบหลายประการโดยเฉพาะวิกฤตการเงินโลก ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยชัดเจนในปีหน้านี้ แต่นายสุนทร สถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัทเฉลิมนคร จำกัด กลับมีความเห็นที่ต่างออกไปในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยให้เหตุผลว่า ปี 52 มีปัจจัยบวกหลายประการที่เชื่อว่าจะทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีอัตราการเติบโตที่เป็นบวกมากกว่าปีนี้
โดยปัจจัยบวกดังกล่าว อาทิ การที่รัฐบาลได้ขยายอายุมาตรการลดภาษีกระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไปจนถึง 28 มีนาคม 2553 จากเดิมที่จะหมดอายุภายใน 28 มีนาคม 2552 โดยการลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะจากร้อยละ 3 เหลือร้อยละ 0.1 และการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือร้อยละ 0.01 พร้อมสามารถลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จาก 150,000 บาท เป็น 250,000 บาทนั้น จะช่วยกระตุ้นให้ภาคอสังหาริมทรัพย์มีอัตราการเติบโตที่เป็นบวกได้ในปี 2553 จากที่ปีนี้มีอัตราการเติบโตติดลบ 5-10%
แม้ว่าจะมีการออกมาตรการดังกล่าวมาในช่วงต้นปี 51 แต่ที่ไม่ส่งผลบวกชัดเจนเพราะสถานการณ์ของเศรษฐกิจและปัญหาด้านการเมืองมีความรุนแรงมากกว่าทำให้มาตรการดังกล่าวไม่ได้ผลเท่าที่ควร โดยเฉพาะในช่วงเดือนตุลาคมเป็นต้นมาที่ปัญหาวิกฤตการเงินโลกได้ส่งผลกระทบชัดเจน จนทำให้ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่น บางรายถึงขั้นไม่ยอมโอนที่อยู่อาศัยเนื่องจากเกรงว่ารายได้ในอนาคตจะไม่แน่นอน โดยเฉพาะผู้บริโภคที่ต้องการซื้อเพื่อลงทุนทำให้ปริมาณการซื้อขายที่อยู่อาศัยในช่วงนั้นลดลง5-10% และที่เห็นภาพชัดเจนมากที่สุดคือตลาดคอนโดมิเนียม
อย่างไรก็ตาม ในปี 52 เชื่อว่าความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภคจะกลับมา เพราะนอกจากปัจจัยบวกจากมาตรการภาษีแล้ว การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงินในประเทศ (กนง.)ลง 1% ซึ่งจะทำให้ MLR เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 6% จะช่วยให้ผู้บริโภคลดค่าใช้จ่ายในการผ่อนชำระดอกเบี้ยเงินกู้ได้จำนวนหนึ่ง ทำให้มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น รวมไปถึงสถานการณ์การเมืองที่คลีคลายขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของบริโภคกลับมา
สำหรับ ตลาดบ้านสั่งสร้างและบ้านที่อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างจะได้รับประโยชน์จากการต่ออายุมาตรการภาษีในครั้งนี้ เพราะลูกค้าสามารถทยอยจ่ายเงินดาวน์ รวมไปถึงได้ประโยชน์จากการลดลงของราคาน้ำมันที่ส่งผลให้ราคาวัสดุก่อสร้างลดลง 8-10% และจะช่วยให้ผู้ประกอบการอาจลดราคาบ้านในปี 52 ลง หรือใช้วิธีให้ของแถมหรือของตกแต่งภายในบ้านแทน
ขณะที่บ้านพร้อมโอนจะขายยากขึ้นเพราะในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลูกค้ายังไม่กล้าตัดสินใจซื้อบ้านในทันที แต่เชื่อว่าสต๊อกบ้านสร้างเสร็จในปัจจุบันมีจำนวนน้อย เมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตปี 2540 นับจากมีข้อมูลอสังหาฯจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
“ตอนนี้ก็ต้องรอดูว่าความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ของผู้บริโภคจะฟื้นกลับมาเร็วแค่ไหน แต่เชื่อว่าน่าจะดีขึ้นกว่าปี 51 แน่นอน ส่วนกำลังซื้อจากต่างชาติขณะนี้ยังไม่กลับมา ซึ่งรัฐบาลคงต้องมีอะไรออกมากระตุ้น และก่อนหน้านี้ 3 สมาคมอสังหาฯได้ยื่นเรื่องไปยังกระทรวงการคลังเพื่อขอขยายการเช่าอสังหาฯในไทยจาก 30 ปี เป็น 50 ปี แต่ยังไม่ได้รับการตอบรับจากรัฐบาลชุดนี้ คงต้องรอรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาดำเนินการและ 3 สมาคมก็จะนำเสนอเรื่องนี้ต่อรัฐบาลชุดใหม่ต่อไป” นายสุนทรกล่าว
แม้ว่านักธุรกิจหลายฝ่ายจะมองว่า เศรษฐกิจไทยปี 2552 จะเข้าสู่ภาวะย่ำแย่กว่าปี 2551 มากจากปัจจัยลบหลายประการโดยเฉพาะวิกฤตการเงินโลก ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยชัดเจนในปีหน้านี้ แต่นายสุนทร สถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัทเฉลิมนคร จำกัด กลับมีความเห็นที่ต่างออกไปในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยให้เหตุผลว่า ปี 52 มีปัจจัยบวกหลายประการที่เชื่อว่าจะทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีอัตราการเติบโตที่เป็นบวกมากกว่าปีนี้
โดยปัจจัยบวกดังกล่าว อาทิ การที่รัฐบาลได้ขยายอายุมาตรการลดภาษีกระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไปจนถึง 28 มีนาคม 2553 จากเดิมที่จะหมดอายุภายใน 28 มีนาคม 2552 โดยการลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะจากร้อยละ 3 เหลือร้อยละ 0.1 และการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือร้อยละ 0.01 พร้อมสามารถลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จาก 150,000 บาท เป็น 250,000 บาทนั้น จะช่วยกระตุ้นให้ภาคอสังหาริมทรัพย์มีอัตราการเติบโตที่เป็นบวกได้ในปี 2553 จากที่ปีนี้มีอัตราการเติบโตติดลบ 5-10%
แม้ว่าจะมีการออกมาตรการดังกล่าวมาในช่วงต้นปี 51 แต่ที่ไม่ส่งผลบวกชัดเจนเพราะสถานการณ์ของเศรษฐกิจและปัญหาด้านการเมืองมีความรุนแรงมากกว่าทำให้มาตรการดังกล่าวไม่ได้ผลเท่าที่ควร โดยเฉพาะในช่วงเดือนตุลาคมเป็นต้นมาที่ปัญหาวิกฤตการเงินโลกได้ส่งผลกระทบชัดเจน จนทำให้ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่น บางรายถึงขั้นไม่ยอมโอนที่อยู่อาศัยเนื่องจากเกรงว่ารายได้ในอนาคตจะไม่แน่นอน โดยเฉพาะผู้บริโภคที่ต้องการซื้อเพื่อลงทุนทำให้ปริมาณการซื้อขายที่อยู่อาศัยในช่วงนั้นลดลง5-10% และที่เห็นภาพชัดเจนมากที่สุดคือตลาดคอนโดมิเนียม
อย่างไรก็ตาม ในปี 52 เชื่อว่าความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภคจะกลับมา เพราะนอกจากปัจจัยบวกจากมาตรการภาษีแล้ว การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงินในประเทศ (กนง.)ลง 1% ซึ่งจะทำให้ MLR เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 6% จะช่วยให้ผู้บริโภคลดค่าใช้จ่ายในการผ่อนชำระดอกเบี้ยเงินกู้ได้จำนวนหนึ่ง ทำให้มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น รวมไปถึงสถานการณ์การเมืองที่คลีคลายขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของบริโภคกลับมา
สำหรับ ตลาดบ้านสั่งสร้างและบ้านที่อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างจะได้รับประโยชน์จากการต่ออายุมาตรการภาษีในครั้งนี้ เพราะลูกค้าสามารถทยอยจ่ายเงินดาวน์ รวมไปถึงได้ประโยชน์จากการลดลงของราคาน้ำมันที่ส่งผลให้ราคาวัสดุก่อสร้างลดลง 8-10% และจะช่วยให้ผู้ประกอบการอาจลดราคาบ้านในปี 52 ลง หรือใช้วิธีให้ของแถมหรือของตกแต่งภายในบ้านแทน
ขณะที่บ้านพร้อมโอนจะขายยากขึ้นเพราะในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลูกค้ายังไม่กล้าตัดสินใจซื้อบ้านในทันที แต่เชื่อว่าสต๊อกบ้านสร้างเสร็จในปัจจุบันมีจำนวนน้อย เมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตปี 2540 นับจากมีข้อมูลอสังหาฯจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
“ตอนนี้ก็ต้องรอดูว่าความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ของผู้บริโภคจะฟื้นกลับมาเร็วแค่ไหน แต่เชื่อว่าน่าจะดีขึ้นกว่าปี 51 แน่นอน ส่วนกำลังซื้อจากต่างชาติขณะนี้ยังไม่กลับมา ซึ่งรัฐบาลคงต้องมีอะไรออกมากระตุ้น และก่อนหน้านี้ 3 สมาคมอสังหาฯได้ยื่นเรื่องไปยังกระทรวงการคลังเพื่อขอขยายการเช่าอสังหาฯในไทยจาก 30 ปี เป็น 50 ปี แต่ยังไม่ได้รับการตอบรับจากรัฐบาลชุดนี้ คงต้องรอรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาดำเนินการและ 3 สมาคมก็จะนำเสนอเรื่องนี้ต่อรัฐบาลชุดใหม่ต่อไป” นายสุนทรกล่าว