เคทีซีชี้นโยบายการขยายธุรกิจด้วยความระมัดระวัง เพื่อเตรียมรับสภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่มีเสถียรภาพ ส่งผลให้ 9 เดือนแรก บริษัทฯ สามารถสร้างรายได้รวมถึง 8,813 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิ 420 ล้านบาท พอร์ตลูกหนี้สุทธิเท่ากับ 46,693 ล้านบาท ในขณะที่ไตรมาส 3 มีรายได้รวม 3,033 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีกำไรเท่ากับ 103 ล้านบาท ชี้ไตรมาสสุดท้ายยังคงเดินนโยบายคุมเข้ม ตั้งแต่กระบวนการคัดเลือกสมาชิกใหม่ที่มีคุณภาพ ไปจนถึงการควบคุมคุณภาพหนี้อย่างใกล้ชิด เน้นให้การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเป็นส่วนหนึ่งของการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และสนับสนุนให้ลูกค้าสินเชื่อบุคคลใช้จ่ายเฉพาะสิ่งที่จำเป็น สร้างวินัยในการใช้เงินและใช้คืนด้วยความรับผิดชอบ
นายนิวัตต์ จิตตาลาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “จากการที่บริษัทฯ ได้ติดตามและประเมินสถานการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด และมีนโยบายในการทำธุรกิจด้วยความระมัดระวัง เพื่อเตรียมรับกับสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนจากผลกระทบของปัจจัยภายในประเทศ และวิกฤตทางการเงินในต่างประเทศ ทำให้บริษัทฯ ยังสามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551 มีกำไรสุทธิ 420 ล้านบาท กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 1.63 บาท เป็นผลจากรายได้รวมเท่ากับ 8,813 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา สำหรับกำไรสุทธิไตรมาส 3 ปี 2551 เท่ากับ 103 ล้านบาท ฐานสมาชิกรวม 2.12 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2550 ที่มีจำนวน 1.94 ล้านบัญชี โดยเป็นสมาชิกใหม่จากบัตรเครดิต 60% และสินเชื่อบุคคล 40% และมีจำนวนบัตรเครดิต 1,582,390 บัตร สินเชื่อบุคคล “เคทีซี แคช” เท่ากับ 532,535 บัญชี และสินเชื่อเจ้าของกิจการ “เคทีซี มิลเลี่ยน” เท่ากับ 2,165 บัญชี”
“สำหรับฐานะทางการเงิน ณ วันที่ 30 กันยายน 2551 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 48,927 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากสิ้นปี 2550 ในขณะที่พอร์ตลูกหนี้การค้ารวมสุทธิเท่ากับ 46,693 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จาก สิ้นปี 2550 และเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา เป็นผลจากสมาชิกบัตรระมัดระวังในการใช้จ่ายและการกู้ยืม อย่างไร ก็ตามปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรรวมยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตต่อบัตรต่อเดือนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากเดิม โดยพอร์ตลูกหนี้รวมประกอบด้วย ยอดลูกหนี้บัตรเครดิตสุทธิ 33,100 ล้านบาท สินเชื่อบุคคล “เคทีซี แคช” สุทธิ 12,244 ล้านบาท สินเชื่อเจ้าของกิจการ “เคทีซี มิลเลี่ยน” สุทธิ 885 ล้านบาท และลูกหนี้ธนวัฏบัตรเครดิตสุทธิ 465 ล้านบาท ในส่วนของอัตราการค้างชำระยังอยู่ในระดับต่ำ”
“บริษัทฯ มีรายได้รวมสำหรับงวด 9 เดือนของปี 2551 เท่ากับ 8,813 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปี 2550 โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากดอกเบี้ยรับ (รวมค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน) และรายได้ค่าธรรมเนียมที่มีสัดส่วนคิดเป็น 70% และ 25% ของรายได้รวม สำหรับไตรมาสที่ 3 บริษัทฯ มีรายได้รวม 3,033 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันของปี 2550 สำหรับค่าใช้จ่ายรวม (รวมดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้) ในรอบ 9 เดือนแรก มีจำนวนทั้งสิ้น 8,393 ล้านบาท เติบโต 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน สัดส่วนค่าใช้จ่ายการดำเนินงานต่อรายได้ (Cost to Income Ratio) อยู่ที่ 50% ระดับเดียวกับสิ้นปี 2550”
“ส่วนของต้นทุนเงินทุนของบริษัทฯ เท่ากับ 4.51% ลดลงจาก 4.87% ณ สิ้นปี 2550 โดยต้นทุนเงินทุนเริ่มปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยจากช่วงครึ่งปีที่ 4.49% เนื่องจากการเพิ่มขึ้นตามภาวะอัตราดอกเบี้ยตลาดที่อิงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับตัวสูงขึ้น บริษัทฯ จึงมีภาระการจัดหาเงินกู้ยืมระยะสั้นในอัตราดอกเบี้ยตลาดปัจจุบันที่สูงขึ้นกว่าเดิม และถึงแม้อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินจะเริ่มสูงขึ้น แต่บริษัทฯยังสามารถดำรงต้นทุนเงินทุนให้อยู่ในระดับต่ำได้ ขณะเดียวกันบริษัทฯ คงระดับอัตรารายได้ดอกเบี้ยรับเฉลี่ยใกล้เคียงกับสิ้นปีที่ผ่านมาที่ 18.2% ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Net Interest Margin) สำหรับงวด 9 เดือนของปี 2551 เพิ่มขึ้นเป็น 13.70% จาก 13.40% เมื่อสิ้นปี 2550 และจาก 13.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2550”
“ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ไปจนถึงปีหน้า เชื่อว่าสภาวะเศรษฐกิจจะยังคงมีความผันผวนจากความไม่แน่นอนของปัจจัยต่างๆ ดังนั้นบริษัทฯ จะยังคงใช้นโยบายการทำธุรกิจอย่างรอบคอบและระมัดระวัง โดยยังคงสร้างฐานสมาชิกใหม่เช่นที่ผ่านมา แต่จะดูแลกระบวนการคัดเลือกสมาชิกใหม่ที่มีคุณภาพ ไปจนถึงการควบคุมคุณภาพหนี้อย่างใกล้ชิด รวมทั้งทำการศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคในเชิงลึกและในแง่มุมที่ซับซ้อนขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดและผู้บริโภคให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงเวลา” นาย นิวัตต์กล่าวปิดท้าย
นายนิวัตต์ จิตตาลาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “จากการที่บริษัทฯ ได้ติดตามและประเมินสถานการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด และมีนโยบายในการทำธุรกิจด้วยความระมัดระวัง เพื่อเตรียมรับกับสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนจากผลกระทบของปัจจัยภายในประเทศ และวิกฤตทางการเงินในต่างประเทศ ทำให้บริษัทฯ ยังสามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551 มีกำไรสุทธิ 420 ล้านบาท กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 1.63 บาท เป็นผลจากรายได้รวมเท่ากับ 8,813 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา สำหรับกำไรสุทธิไตรมาส 3 ปี 2551 เท่ากับ 103 ล้านบาท ฐานสมาชิกรวม 2.12 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2550 ที่มีจำนวน 1.94 ล้านบัญชี โดยเป็นสมาชิกใหม่จากบัตรเครดิต 60% และสินเชื่อบุคคล 40% และมีจำนวนบัตรเครดิต 1,582,390 บัตร สินเชื่อบุคคล “เคทีซี แคช” เท่ากับ 532,535 บัญชี และสินเชื่อเจ้าของกิจการ “เคทีซี มิลเลี่ยน” เท่ากับ 2,165 บัญชี”
“สำหรับฐานะทางการเงิน ณ วันที่ 30 กันยายน 2551 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 48,927 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากสิ้นปี 2550 ในขณะที่พอร์ตลูกหนี้การค้ารวมสุทธิเท่ากับ 46,693 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จาก สิ้นปี 2550 และเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา เป็นผลจากสมาชิกบัตรระมัดระวังในการใช้จ่ายและการกู้ยืม อย่างไร ก็ตามปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรรวมยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตต่อบัตรต่อเดือนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากเดิม โดยพอร์ตลูกหนี้รวมประกอบด้วย ยอดลูกหนี้บัตรเครดิตสุทธิ 33,100 ล้านบาท สินเชื่อบุคคล “เคทีซี แคช” สุทธิ 12,244 ล้านบาท สินเชื่อเจ้าของกิจการ “เคทีซี มิลเลี่ยน” สุทธิ 885 ล้านบาท และลูกหนี้ธนวัฏบัตรเครดิตสุทธิ 465 ล้านบาท ในส่วนของอัตราการค้างชำระยังอยู่ในระดับต่ำ”
“บริษัทฯ มีรายได้รวมสำหรับงวด 9 เดือนของปี 2551 เท่ากับ 8,813 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปี 2550 โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากดอกเบี้ยรับ (รวมค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน) และรายได้ค่าธรรมเนียมที่มีสัดส่วนคิดเป็น 70% และ 25% ของรายได้รวม สำหรับไตรมาสที่ 3 บริษัทฯ มีรายได้รวม 3,033 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันของปี 2550 สำหรับค่าใช้จ่ายรวม (รวมดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้) ในรอบ 9 เดือนแรก มีจำนวนทั้งสิ้น 8,393 ล้านบาท เติบโต 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน สัดส่วนค่าใช้จ่ายการดำเนินงานต่อรายได้ (Cost to Income Ratio) อยู่ที่ 50% ระดับเดียวกับสิ้นปี 2550”
“ส่วนของต้นทุนเงินทุนของบริษัทฯ เท่ากับ 4.51% ลดลงจาก 4.87% ณ สิ้นปี 2550 โดยต้นทุนเงินทุนเริ่มปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยจากช่วงครึ่งปีที่ 4.49% เนื่องจากการเพิ่มขึ้นตามภาวะอัตราดอกเบี้ยตลาดที่อิงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับตัวสูงขึ้น บริษัทฯ จึงมีภาระการจัดหาเงินกู้ยืมระยะสั้นในอัตราดอกเบี้ยตลาดปัจจุบันที่สูงขึ้นกว่าเดิม และถึงแม้อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินจะเริ่มสูงขึ้น แต่บริษัทฯยังสามารถดำรงต้นทุนเงินทุนให้อยู่ในระดับต่ำได้ ขณะเดียวกันบริษัทฯ คงระดับอัตรารายได้ดอกเบี้ยรับเฉลี่ยใกล้เคียงกับสิ้นปีที่ผ่านมาที่ 18.2% ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Net Interest Margin) สำหรับงวด 9 เดือนของปี 2551 เพิ่มขึ้นเป็น 13.70% จาก 13.40% เมื่อสิ้นปี 2550 และจาก 13.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2550”
“ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ไปจนถึงปีหน้า เชื่อว่าสภาวะเศรษฐกิจจะยังคงมีความผันผวนจากความไม่แน่นอนของปัจจัยต่างๆ ดังนั้นบริษัทฯ จะยังคงใช้นโยบายการทำธุรกิจอย่างรอบคอบและระมัดระวัง โดยยังคงสร้างฐานสมาชิกใหม่เช่นที่ผ่านมา แต่จะดูแลกระบวนการคัดเลือกสมาชิกใหม่ที่มีคุณภาพ ไปจนถึงการควบคุมคุณภาพหนี้อย่างใกล้ชิด รวมทั้งทำการศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคในเชิงลึกและในแง่มุมที่ซับซ้อนขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดและผู้บริโภคให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงเวลา” นาย นิวัตต์กล่าวปิดท้าย