ภาวะเศรษฐกิจโลกขาลง-น้ำมันหลุด 40 ดอลลาร์ พ่นพิษบริษัทยักษ์ใหญ่ล้มจนเป็นแฟชั่น โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการน้ำเข้า-ส่งออก และธุรกิจด้านพลังงาน กำลังเป็นเหยื่อรายต่อไป ปตท.งดปล่อยเครดิตซื้อสินค้า-พับแผนการลงทุนขนาดใหญ่เข้าลิ้นชัก "ประเสริฐ" ยอมรับธุรกิจโรงกลั่น-ปิโตรเคมี โดนผลกระทบวิกฤตเล่นงานอ่วม โวปีหน้าไม่ขาดทุนจากสต็อกน้ำมันแน่ เล็งควบรวมธูรกิจในเครือเพิ่ม ยันกอดเงินสดแน่น
วันนี้ ( 27 พ.ย.) นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยถึงทิศทางธุรกิจพลังงานในอนาคต โดยระบุว่า สำหรับธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี คาดว่ายังอยู่ในช่วงขาลงถึง 2 ปี แต่อย่างไรก็ตาม และจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่เข้าสู่ภาวะถดถอย ส่งผลให้ความต้องการใช้ชะลอตัวลง ซึ่งยิ่งเป็นการซ้ำเติมให้ธุรกิจดังกล่าวอยู่ในช่วงขาลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ ประเมินว่าในช่วง 2 ปี ที่เข้าสู่วัฎจักรขาลงของธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี แต่ในส่วนของบริษัท ปตท.สำรวจและผลิต จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ก็ยังสามารถเติบโตได้ดี ในระดับราคาน้ำมันอยู่ที่ 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งสำหรับธุรกิจ PTT ก็ยังสามารถดำเนินไปได้ด้วยดี ทั้งนี้ คาดว่าในปีหน้าบริษัทฯคงไม่มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน แต่คาดว่า margin อาจอยู่ในระดับที่ต่ำ แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯก็มีฐานะทางการเงินที่แข็งแรงกว่าในอดีตที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม นายประเสริฐ ยอมรับว่าปีหน้าจะเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับภาคธุรกิจจากผลกระทบวิกฤติเศรษฐกิจโลก แต่ก็เป็นโอกาสที่ดีในการปรับตัว ซึ่งบริษัทอาจพิจารณาควบรวมธุรกิจในเครือที่มีลักษณะใกล้เคียงกันเพิ่มขึ้น
ตอนนี้ ราคาน้ำมันลงมาประมาณ 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แนวโน้มก็มีโอกาสลง โดยปีหน้าคาดราคาน้ำมันอยู่ที่ประมาณ 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ปตท.จึงต้องมีการเตรียมเงินสำรองไว้ ภายใต้ธุรกิจแบบนี้ต้องดูแลค่าใช้จ่ายและการลงทุนที่จำเป็น ถ้าการลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีก็จะลงทุน ส่วนที่มีความเสี่ยงผลตอบแทนน้อยก็หลีกเลี่ยง
"ผมมองว่า โรงกลั่น-ปิโตรเคมี อาจใช้เวลามากกว่า 2 ปี ที่จะเริ่มฟื้นตัว เพราะมีการสร้างโรงงานใหม่และขยายการผลิต โดยเฉพาะจีน หรืออินเดีย ซึ่งกลุ่มโรงกลั่นและกลุ่มปิโตรในไทย คงไม่มีการขยายลงทุนใหม่ เราคงประคับประคองให้เดินไปได้ ในปีหน้าและปีถัดไป และรักษา cashflow ให้เพียงพอ" นายประเสริฐ กล่าวและเสริมว่า
"เมื่อครั้งวิกฤติปี 2540 เราก็ดำเนินการควบรวมกิจการหลายแห่งในเครือ ดังนั้น ในปีหน้าเป็นโอกาสที่เราจะมาจัดการกับบริษัทในเครือที่เกี่ยวเนื่องกันอีกครั้งหนึ่ง"
ส่วนแผนซื้อหุ้นคืนทั้งซื้อทางตรงและทางอ้อม ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดิมมาก โดยมีเม็ดเงินอยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท แต่ต้องดูเวลาที่เหมาะสมและฐานะทางการเงินเพราะเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงทุกวัน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจำเป็นต้องรักษากระแสเงินสดไว้พอสมควรในกรณีฉุกเฉิน
นายประเสริฐ กล่าวสรุปทิ้งท้ายว่า ปีหน้าบริษัทจะเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยเครดิตให้ลูกค้าที่สั่งซื้อผลิตภัณฑ์ เนื่องจากช่วงนี้มีหลายแห่งประสบปัญหาทางการเงิน และสำหรับ ปตท.เองจะไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ที่ไม่ก่อประโยชน์ในช่วงนี้ แม้ว่า ปตท.มีกระแสเงินสดเพียงพอสำหรับการลงทุนและใช้จ่ายในกิจการ