xs
xsm
sm
md
lg

วิกฤตการเงินสหรัฐฯพ่นพิษบจ. ผลงานทรุดยาวถึงกลางปีหน้า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ตลาดหุ้นไทยขาดปัจจัยบวกรูดตามตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน ดัชนีปรับตัวลดลงกว่า 14 จุด หรือ 3.10% ภัทรียา ย้ำตลาดหุ้นไทยพื้นฐานดีกว่าเพื่อนบ้าน มูลค่าลดลงแค่ 10% ขณะที่ทั่วโลกปรับตัวลดลงกว่า 50% ระบุดัชนีดีดกลับจากจุดต่ำสุดของปีแล้ว 18% ด้านประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย “ประเสริฐ” ฟันธงกำไรบจ. ไตรมาส 4/51 แย่ลากยาวถึงครึ่งแรกปี 52 จี้รัฐเร่งหาตลาดส่งออกใหม่ ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (11 พ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นเอเชีย จากความวิตกกังวลวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นจนส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยดัชนีปรับตัวแตะระดับสูงสุดที่ 460.23 จุด ก่อนจะมีแรงเทขายหุ้นขนาดใหญ่ออกมาในช่วงบ่ายฉุดดัชนีตลาดหุ้นปิดที่จุดต่ำสุด 442.31 จุด ลดลงจากวันก่อน 14.13 จุด หรือ 3.10% มูลค่าการซื้อขายรวม 8,904.96 ล้านบาท

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 573.06 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 152.56 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 725.62 ล้านบาท

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 18% จากจุดต่ำสุดของปีนี้ที่ 384.15 จุด หลังรัฐบาลสหรัฐฯ และประเทศต่างๆ อัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาเสริมสภาพคล่อง ซึ่งส่งผลดีทำให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย

ทั้งนี้ หากประมินมูลค่าการซื้อขายต่อวันในปีนี้อยู่ที่ 1.6 พันล้านบาท ลดลงประมาณ 10% จากปีก่อนที่มี1.7 พันล้านบาทต่อวัน ถือเป็นการปรับตัวลดลงน้อยกว่าตลาดหุ้นต่างประเทศที่ส่วนใหญ่มูลค่าการซื้อขายจะปรับตัวลดลงถึง 50% แสดงให้เห็นภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังดีอยู่ แต่จากปัญหาการเมืองในประเทศอาจจะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงการลงทุนมากขึ้น

“ปัญหาการเมืองในประเทศจะเป็นแรงกดดันตลาดหุ้นไทย หากภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้นและตลาดหุ้นต่างประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น อาจจะทำให้ตลาดหุ้นไทยไม่สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นเหมือนกับตลาดหุ้นต่างประเทศ ดังนั้นรัฐบาลจะต้องทาแนวทางแก้ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน”

สำหรับผลการดำเนินงานภาพรวมของบริษัทจดทะเบียนนั้น นางภัทรียา ปีนี้ผลการดำเนินงานบจ.ยังอยู่เกณฑ์ที่ดี โดยบางธุรกิจอาจจะดี หรือบางธุรกิจอาจจะไม่ดีบ้าง สังเกตจากกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ไตรมาส 3/51 มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 36%

ส่วนความคืบหน้าโครงการรับซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียนนั้น ล่าสุด (11 พ.ย.) มีบริษัทจดทะเบียนได้แจ้งขอซื้อหุ้นคืนเพิ่มอีก 2 บริษัท ทำให้จำนวนทั้งสิ้น 26 บริษัท มูลค่า 8.4 พันล้านบาท โดยมีการซื้อหุ้นคืนแล้วประมาณ 20% ของมูลค่าดังกล่าว

“ขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้หารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อแก้ปัญหาให้บจ. ที่ซื้อหุ้นสามารถเพิ่มทุนได้ จากเดิมที่ไม่สามารถดำเนินการได้ และสามารถนำหุ้นที่ซื้อคืนนั้นไปขายให้กับนักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจงได้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการแก้ไขกฎกระทรวง ทำให้มั่นใจว่าจะมีการประกาศบังคับใช้จะส่งผลดีต่อบจ.ที่มีการซื้อหุ้นคืน”

นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT และในฐานะประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ผลการดำเนินงาน บจ. ไตรมาส4/51 จะออกมาไม่ดี จนถึงครึ่งปีแรกปี 2552 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจปีหน้าจะมีการชะลอตัวและต่ำกว่าปีนี้อย่างแน่นอน จากผลกระทบปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ ที่จะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมที่แท้จริง ทำให้มีธุรกิจมีการผลิตสินค้าที่ไม่เต็มการผลิต เช่น ธุรกิจปิโตรเคมี ทำให้รายได้ ลดลง จากคำสั่งซื้อสินค้าที่ลดลง รัฐบาลควรที่จะเร่งหาตลาดใหม่ เข้ามาทดแทน

ทั้งนี้ รัฐบาลควรที่จะเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรการด้านภาษีนิติบุคคลเพื่อช่วยลดต้นทุน และภาษีของบุคคลธรรมดาเหมือนกับประเทศสิงคโปร์ เพื่อช่วยให้มีรายได้มากขึ้น ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจทางอ้อม พร้อมกันนี้ ควรจะที่การลดอัตราดอกเบี้ยจากปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 3.75 % เพราะธนาคารกลางทั่วโลกลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจแล้ว

นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน  บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชียพลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวนตามตลาดต่างประเทศ จากความไม่มั่นใจของนักลงทุนต่อผลประกอบการในไตรมาส 4 ที่อาจขาดทุนมากขึ้น ตลอดจนแนวโน้มอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ จะปิดตัวมากขึ้น ขณะที่แนวโน้มวันนี้ยังอยู่ในช่วงขาลง โดยนักลงทุนต้องติดตามแรงเทขายของนักลงทุนต่างประเทศ ประเมินแนวรับไว้ที่ 430 จุด แนวต้าน 450 จุด

นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงมีโอกาสปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยให้จับตาตลาดหุ้นในต่างประเทศ และสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศที่ยังระอุ แนะนักลงทุนชะลอการลงทุนออกไปก่อน เพื่อรอดูสถานการณ์ ซึ่งประเมินแนวรับที่ 400-430 จุด และแนวต้านที่ 460 จุด

ด้านนายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ไซรัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วานนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแรงในช่วงบ่าย แต่มูลค่าการซื้อขายค่อนข้างเงียบเหงา ขณะที่แนวโน้ม ยังคงเงียบเหงา เนื่องจากยังขาดมีปัจจัยบวก ดังนั้นนักลงทุนควรชะลอการลงทุนเพื่อรอดูทิศทางตลาดเพื่อนบ้านก่อน โดยมีแนวรับอยู่ที่ 440 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 460 จุด
กำลังโหลดความคิดเห็น