เอ็นพาร์คมึนไม่เลิก! บสก.เจ้าหนี้สวมสิทธิอดีตแบงก์นครธนฯ ยื่นฟ้องบริษัทแนเชอรัล พาร์คฯ เพื่อให้ชำระหนี้ 49.71 ล้านบาท บวกดอกเบี้ย 23% ต่อปี ขณะที่ศาลฯนัดวันสืบพยานแล้ว จับตาหากแนเชอรัลฯมีปัญหาเรื่องเงินกองทุนติดลบ อาจตัดสินใจเข้าสู่แผนฟื้นฟูฯดีกว่า
นายจุมพลภัทร์ พูลทรัพย์ ผู้มีอำนาจรายงานสารสนเทศ บริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า คณะกรรมการของบริษัท แนเชอรัล พาร์คฯ ได้รับแจ้งจากฝ่ายกฎหมายว่า บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด หรือ บสก. (ผู้สวมสิทธิแทนธนาคารนครธน จำกัด
(มหาชน) (โจทก์)) ซึ่งเป็นอดีตเจ้าหนี้อีกรายหนึ่งในแผนฟื้นฟูกิจการและได้รับชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการแล้ว ยื่นขอให้ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ยกคดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องบริษัทในฐานะผู้ค้ำประกันเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2540 ขึ้นพิจารณาใหม่
โดยโจทก์ขอให้บริษัทร่วมชำระหนี้เป็นเงินจำนวน49.71 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 23% ต่อปี จากต้นเงิน 41.25 ล้านบาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ปัจจุบันศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้นัดพร้อมเพื่อกำหนดวันนัดสืบพยานแล้ว
แหล่งข่าวกล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา ทางบริษัทฯได้พยายามที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้สิน และเพื่อยกระดับฐานะของบริษัทฯให้เกิดความน่าเชื่อทั้งแก่เจ้าหนี้ ผู้ถือหุ้น และผู้ลงทุน โดยที่ผ่านมา ได้ดำเนินการขายหุ้นในธุรกิจต่างๆ เพื่อชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ แต่อย่างไรก็ตาม จากผลสืบเนื่องจากคดีความต่างๆ และที่เกิดขึ้นล่าสุด ที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้พิพากษาให้บริษัทแนเชอรัล พาร์คฯ ชำระเงินแก่โจทย์ คือ บริษัทไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด 200 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย12.42% ต่อปีนับแต่วันที่ 20 พ.ย.2539 จนถึงวันที่ 10 ก.ย.2540 และดอกเบี้ยอัตรา 7.5% ต่อปี นับแต่วันที่ 11 ก.ย.40 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทย์ ซึ่งแม้ทางบริษัทฯจะพยายามเตรียมยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ต่อศาลอุทธรณ์ แต่โอกาสทางคดีความอาจจะมีผลกระทบต่อฐานะการเงินของบริษัทฯ ที่ต้องสำรองหนี้ ซึ่งมีผลต่อเนื่องให้เกิดปัญหาทางด้านทุนที่ต่ำเกินไป และอาจจะไม่เป็นผลดีต่อองค์กรในระยะยาว
" งงเหมือนกันที่บสก.ยื่นขอให้ศาลยกคดีเพื่อฟ้องบริษัทฯ และก่อนหน้านี้ ได้ชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูฯในฐานะที่บริษัทฯได้เข้าไปค้ำประกันให้แก่บริษัทลูก คือ เดอะ แนเชอรัล เพลส ทาวเวอร์ที่กู้เงิน ก็ไม่อยากคิดว่า ผลจากคดีความที่บริษัทไทยสมุทรประกันชีวิตชนะคดีกับบริษัทฯ จะเป็นประเด็นให้เกิดเจ้าหนี้รายใหม่มาฟ้องบริษัทฯอีก ทั้งนี้ เจ้าหนี้รายใหม่น่าจะซื้อหนี้มาจากอดีตธนาคารนครธน " แหล่งข่าวกล่าวและว่า จากหลายๆปัญหาที่เกิดขึ้น ทางบริษัทแนเชอรัล พาร์คฯ ยังคงเดินหน้าแก้ไขให้ทุกอย่างจบ แต่หากสุดท้าย ทำเต็มที่แล้ว ยังไม่สิ้นสุด ก็อาจเข้าสู่แผนฟื้นฟูฯไปดีกว่า
ผู้สื่อข่าวรายงาน คดีความดังกล่าวเป็นเรื่องเก่า และเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ทางบสก.(เจ้าหนี้) ได้ซื้อหนี้บริษัท แนเชอรัล เพลสฯ มาจากธนาคารนครธน เมื่อประมาณปี 2547 และเมื่อประมาณเดือนมิ.ย.2550 ศาลได้มีการพิทักษ์ทรัพย์บริษัทแนเชอรัล เพลสฯ และทางเจ้าหนี้และรวมถึงบสก.ได้ยื่นขอการรับชำระหนี้ โดยบริษัทแนเชอรัล เพลสฯ เป็นลูกหนี้แก่บสก.ประมาณ 40 ล้านบาท ขณะที่บริษัท แนเชอรัล พาร์คฯ ผู้ค้ำประกัน ศาลให้ไปรับผิดชอบตามแผนฟื้นฟูกิจการ
สำหรับในระยะที่ผ่านมา บริษัทแนเชอรัล พาร์คฯ ได้มีการรับมือกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการขอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท จำนวน 24,172,368,000 บาท จากทุนจดทะเบียนจำนวน 12,086184,000 บาท เป็น 36,258,552,000 บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่ดังกล่าว มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยจะมีการจัดสรรหุ้นสามัญใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม ตามสัดส่วนการถือหุ้นในอัตราส่วน 1 หุ้นเดิมต่อ 2 หุ้นใหม่ ในราคาเสนอขายหุ้นละ 0.02 บาท คาดว่าจะได้รับเงินเข้ามาประมาณ 483.44 ล้านบาท เพื่อมาเสริมทุนไม่ให้เกิดการติดลบ เนื่องจากทางบริษัทจะต้องสำรองหนี้จากคดีฟ้องร้อง คาดว่าอาจจะต้องสำรองสูงถึง 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงและกระทบต่อฐานะของบริษัทอย่างมาก
แต่เพื่อป้องกันความเสี่ยงอันอาจจะเกิดการเพิ่มทุนไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ทางบริษัทฯ ได้เตรียมแผนสำรองเพิ่มเติมที่นำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาการขายทรัพย์สินของบริษัทเพื่อปรับโครงสร้างหนี้สินของบริษัท ได้แก่ พิจารณาอนุมัติการขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมอสังหาฯยูโอบี อะพาร์ตเมนต์ หนึ่ง (UOBAPF) จำนวน 23 ล้านหน่วย คิดเป็น27.06 % ของหน่วยลงทุนที่ชำระแล้ว ให้แก่นักลงทุนที่สนใจ ซึ่งไม่เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันกับบริษัทตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน
เตรียมนำหุ้นรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL ที่บริษัทฯยังคงถือหุ้น 320,260,000 หุ้น คิดเป็น 2.68% ของทุนชำระแล้ว แต่จะเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาอนุมัติกำหนดราคาเสนอขายใหม่ โดยมอบอำนาจให้คณะกรรมการบริษัทฯเป็นผู้กำหนดราคาเสนอขายในราคาไม่ต่ำกว่า 75% ของราคาปิดของหุ้น BMCL ตามที่ปรากฏในตลาดหลักทรัพย์ฯในวันก่อนหน้าที่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติกำหนดราคาเสนอขาย (โดยก่อนหน้า สามารถขายหุ้นBMCL จำนวน 500 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 0.79 บาท คิดเป็นเงิน 395 ล้านบาท)
นอกจากนี้ บอร์ดยังอนุมัติขายหุ้นสามัญบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) 62,721,231 หุ้นหรือ 4.26% ของทุนชำระแล้ว ให้แก่นักลงทุนที่สนใจ ในราคาไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 3.75 บาท และขายหุ้นบริษัท ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (SYNTEC) 190 ล้านหุ้น คิดเป็น 11.88 %ของทุนชำระแล้ว ให้แก่นักลงทุนที่สนใจ ในราคาไม่ต่ำกว่าหุ้นละ1.02 บาท โดยทางบริษัทฯได้กำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท ครั้งที่ 1/2552 ในวันที่ 2 ก.พ. 52
นายจุมพลภัทร์ พูลทรัพย์ ผู้มีอำนาจรายงานสารสนเทศ บริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า คณะกรรมการของบริษัท แนเชอรัล พาร์คฯ ได้รับแจ้งจากฝ่ายกฎหมายว่า บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด หรือ บสก. (ผู้สวมสิทธิแทนธนาคารนครธน จำกัด
(มหาชน) (โจทก์)) ซึ่งเป็นอดีตเจ้าหนี้อีกรายหนึ่งในแผนฟื้นฟูกิจการและได้รับชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการแล้ว ยื่นขอให้ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ยกคดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องบริษัทในฐานะผู้ค้ำประกันเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2540 ขึ้นพิจารณาใหม่
โดยโจทก์ขอให้บริษัทร่วมชำระหนี้เป็นเงินจำนวน49.71 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 23% ต่อปี จากต้นเงิน 41.25 ล้านบาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ปัจจุบันศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้นัดพร้อมเพื่อกำหนดวันนัดสืบพยานแล้ว
แหล่งข่าวกล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา ทางบริษัทฯได้พยายามที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้สิน และเพื่อยกระดับฐานะของบริษัทฯให้เกิดความน่าเชื่อทั้งแก่เจ้าหนี้ ผู้ถือหุ้น และผู้ลงทุน โดยที่ผ่านมา ได้ดำเนินการขายหุ้นในธุรกิจต่างๆ เพื่อชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ แต่อย่างไรก็ตาม จากผลสืบเนื่องจากคดีความต่างๆ และที่เกิดขึ้นล่าสุด ที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้พิพากษาให้บริษัทแนเชอรัล พาร์คฯ ชำระเงินแก่โจทย์ คือ บริษัทไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด 200 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย12.42% ต่อปีนับแต่วันที่ 20 พ.ย.2539 จนถึงวันที่ 10 ก.ย.2540 และดอกเบี้ยอัตรา 7.5% ต่อปี นับแต่วันที่ 11 ก.ย.40 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทย์ ซึ่งแม้ทางบริษัทฯจะพยายามเตรียมยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ต่อศาลอุทธรณ์ แต่โอกาสทางคดีความอาจจะมีผลกระทบต่อฐานะการเงินของบริษัทฯ ที่ต้องสำรองหนี้ ซึ่งมีผลต่อเนื่องให้เกิดปัญหาทางด้านทุนที่ต่ำเกินไป และอาจจะไม่เป็นผลดีต่อองค์กรในระยะยาว
" งงเหมือนกันที่บสก.ยื่นขอให้ศาลยกคดีเพื่อฟ้องบริษัทฯ และก่อนหน้านี้ ได้ชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูฯในฐานะที่บริษัทฯได้เข้าไปค้ำประกันให้แก่บริษัทลูก คือ เดอะ แนเชอรัล เพลส ทาวเวอร์ที่กู้เงิน ก็ไม่อยากคิดว่า ผลจากคดีความที่บริษัทไทยสมุทรประกันชีวิตชนะคดีกับบริษัทฯ จะเป็นประเด็นให้เกิดเจ้าหนี้รายใหม่มาฟ้องบริษัทฯอีก ทั้งนี้ เจ้าหนี้รายใหม่น่าจะซื้อหนี้มาจากอดีตธนาคารนครธน " แหล่งข่าวกล่าวและว่า จากหลายๆปัญหาที่เกิดขึ้น ทางบริษัทแนเชอรัล พาร์คฯ ยังคงเดินหน้าแก้ไขให้ทุกอย่างจบ แต่หากสุดท้าย ทำเต็มที่แล้ว ยังไม่สิ้นสุด ก็อาจเข้าสู่แผนฟื้นฟูฯไปดีกว่า
ผู้สื่อข่าวรายงาน คดีความดังกล่าวเป็นเรื่องเก่า และเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ทางบสก.(เจ้าหนี้) ได้ซื้อหนี้บริษัท แนเชอรัล เพลสฯ มาจากธนาคารนครธน เมื่อประมาณปี 2547 และเมื่อประมาณเดือนมิ.ย.2550 ศาลได้มีการพิทักษ์ทรัพย์บริษัทแนเชอรัล เพลสฯ และทางเจ้าหนี้และรวมถึงบสก.ได้ยื่นขอการรับชำระหนี้ โดยบริษัทแนเชอรัล เพลสฯ เป็นลูกหนี้แก่บสก.ประมาณ 40 ล้านบาท ขณะที่บริษัท แนเชอรัล พาร์คฯ ผู้ค้ำประกัน ศาลให้ไปรับผิดชอบตามแผนฟื้นฟูกิจการ
สำหรับในระยะที่ผ่านมา บริษัทแนเชอรัล พาร์คฯ ได้มีการรับมือกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการขอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท จำนวน 24,172,368,000 บาท จากทุนจดทะเบียนจำนวน 12,086184,000 บาท เป็น 36,258,552,000 บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่ดังกล่าว มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยจะมีการจัดสรรหุ้นสามัญใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม ตามสัดส่วนการถือหุ้นในอัตราส่วน 1 หุ้นเดิมต่อ 2 หุ้นใหม่ ในราคาเสนอขายหุ้นละ 0.02 บาท คาดว่าจะได้รับเงินเข้ามาประมาณ 483.44 ล้านบาท เพื่อมาเสริมทุนไม่ให้เกิดการติดลบ เนื่องจากทางบริษัทจะต้องสำรองหนี้จากคดีฟ้องร้อง คาดว่าอาจจะต้องสำรองสูงถึง 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงและกระทบต่อฐานะของบริษัทอย่างมาก
แต่เพื่อป้องกันความเสี่ยงอันอาจจะเกิดการเพิ่มทุนไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ทางบริษัทฯ ได้เตรียมแผนสำรองเพิ่มเติมที่นำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาการขายทรัพย์สินของบริษัทเพื่อปรับโครงสร้างหนี้สินของบริษัท ได้แก่ พิจารณาอนุมัติการขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมอสังหาฯยูโอบี อะพาร์ตเมนต์ หนึ่ง (UOBAPF) จำนวน 23 ล้านหน่วย คิดเป็น27.06 % ของหน่วยลงทุนที่ชำระแล้ว ให้แก่นักลงทุนที่สนใจ ซึ่งไม่เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันกับบริษัทตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน
เตรียมนำหุ้นรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL ที่บริษัทฯยังคงถือหุ้น 320,260,000 หุ้น คิดเป็น 2.68% ของทุนชำระแล้ว แต่จะเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาอนุมัติกำหนดราคาเสนอขายใหม่ โดยมอบอำนาจให้คณะกรรมการบริษัทฯเป็นผู้กำหนดราคาเสนอขายในราคาไม่ต่ำกว่า 75% ของราคาปิดของหุ้น BMCL ตามที่ปรากฏในตลาดหลักทรัพย์ฯในวันก่อนหน้าที่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติกำหนดราคาเสนอขาย (โดยก่อนหน้า สามารถขายหุ้นBMCL จำนวน 500 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 0.79 บาท คิดเป็นเงิน 395 ล้านบาท)
นอกจากนี้ บอร์ดยังอนุมัติขายหุ้นสามัญบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) 62,721,231 หุ้นหรือ 4.26% ของทุนชำระแล้ว ให้แก่นักลงทุนที่สนใจ ในราคาไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 3.75 บาท และขายหุ้นบริษัท ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (SYNTEC) 190 ล้านหุ้น คิดเป็น 11.88 %ของทุนชำระแล้ว ให้แก่นักลงทุนที่สนใจ ในราคาไม่ต่ำกว่าหุ้นละ1.02 บาท โดยทางบริษัทฯได้กำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท ครั้งที่ 1/2552 ในวันที่ 2 ก.พ. 52