ผู้บริหาร “ยูนิค ไม่นิ่งฯ” มั่นใจรายได้ปีนี้โตตามเป้าที่ 3.2 พันล้านบาท หลังงวด 9 เดือนมีรายได้รวมแล้วกว่า 2.5 พันล้านบาท พร้อมเตรียมแผนหั่นงบลงทุนปีหน้าลงอีก 100 ล้านบาท จากเดิมตั้งเป้าไว้ 300-400 ล้านบาท หลังวิกฤตการเงินสหรัฐฯ ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว
นายชัยวัฒน์ เครือชะเอม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส จำกัด (มหาชน) หรือ UMS เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจรายได้ในปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ 3,200 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตจากปีก่อน 30% ภายหลังจากผลการดำเนินงานรอบ 9 เดือน มีรายได้อยู่ประมาณ 2.5 พันล้านบาท
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2551 บริษัทมีรายได้ 958 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 613 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 55% ซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากราคาถ่านหินที่ปรับขึ้นและการขยายตัวของตลาดถ่านหินที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการเปิดคลังสินค้าแห่งใหม่ประมาณเดือน (ต.ค.) ที่ตำบลสวนส้ม จังหวัดสมุทรสาคร ส่งผลทำให้บริษัทสามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 40-50 บาทต่อตัน ซึ่งจะช่วยทำให้ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะมีรายไดไม่ต่ำกว่าไตรมาส 3 ที่ผ่านมา แม้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และราคาถ่านหินยังคงทรงตัว เพราะได้มีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ราคาถ่านหินที่ปรับลดลงในตลาดโลกประมาณ 50% ไม่มีผลกระทบต่อบริษัทเนื่องจากช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้มีการลดจำนวนวันในการสต็อกสินค้าจากเดิม 90 วัน เหลือเพียง 75 วัน เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในส่วนดังกล่าว
ส่วนแผนการดำเนินงานในปี 2552 นั้น บริษัทเตรียมปรับลดงบลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งงบลงทุนไว้ 300-400 ล้านบาท และมีแนวโน้มจะชะลอโครงการจากเดิมที่เป็นการซื้อที่ดินเพื่อสร้างคลังสินค้า อาจปรับเปลี่ยนมาเป็นการเช่าแทนหรือลดขนาดโครงการ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีคลังสินค้าที่ตำบลสวนส้ม จังหวัดสมุทรสาคร และที่นครหลวง จังหวัดอยุธยา สามารถรองรับสินค้าได้
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า จากปัญหาสภาพเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ทำให้บริษัทมีแนวโน้มชะลอการลงทุนในโครงการคลังสินค้าในภาคตะวันออกและภาคใต้ จากเป้าหมายเดิมที่จะซื้อที่ดินและท่าเทียบเรือมูลค่ารวม 500-600 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทต้องทบทวนอีกครั้งถึงความต้องการของกลุ่มอุตสาหกรรมในแถบดังกล่าว ซึ่งทางภาคใต้ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมเกี่ยวกับยางพารา ที่อาจได้รับผลกระทบจากธุรกิจยานยนต์ชะลอตัว ดังนั้นบริษัทจึงอาจจะชะลอการลงทุนออกไปก่อน เพราะเห็นว่าไปช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม
ส่วนโครงการลงทุนเหมืองถ่านหินที่ประเทศอินโดนีเซียนั้น ปัจจุบันได้มีการเจรจากับพันธมิตรที่มีอยู่ประมาณ 3-4 ราย ซึ่งมองว่าจะเข้าไปลงทุนระยะยาว และคาดว่าแนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในปีหน้าจะปรับลง แต่ทางบริษัทมองว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นเป็นโอกาสที่จะเข้าไปหาพันธมิตรมากขึ้น เพื่อสนับสนุนการเติบโตบริษัทในอนาคต
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ชะลอโครงการที่จะปรับเปลี่ยนเชื่อเพลิงของรถบรรทุกจากน้ำมันเป็นก๊าซเอ็นจีวี หลังจากที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง โดยปัจจุบันบริษัทมีรถบรรทุกอยู่ 24 คัน ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนอยู่ที่คันละ 6 แสนบาท รวมมูลค่า 15 ล้านบาท รวมทั้งได้ชะลอแผนซื้อเรือมือสอง จากเดิมที่ตั้งเป้าซื้อเรือมือสองเพิ่ม 5 ลำ ด้วยงบลงทุน 5-6 ล้านบาท/ลำ มูลค่าโครงการ 30 ล้านบาท ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมีเรือมือสองอยู่ที่ 5 ลำ ซึ่งคาดว่าน่าเพียงพอในการดำเนินธุรกิจ
นายชัยวัฒน์ เครือชะเอม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส จำกัด (มหาชน) หรือ UMS เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจรายได้ในปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ 3,200 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตจากปีก่อน 30% ภายหลังจากผลการดำเนินงานรอบ 9 เดือน มีรายได้อยู่ประมาณ 2.5 พันล้านบาท
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2551 บริษัทมีรายได้ 958 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 613 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 55% ซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากราคาถ่านหินที่ปรับขึ้นและการขยายตัวของตลาดถ่านหินที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการเปิดคลังสินค้าแห่งใหม่ประมาณเดือน (ต.ค.) ที่ตำบลสวนส้ม จังหวัดสมุทรสาคร ส่งผลทำให้บริษัทสามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 40-50 บาทต่อตัน ซึ่งจะช่วยทำให้ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะมีรายไดไม่ต่ำกว่าไตรมาส 3 ที่ผ่านมา แม้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และราคาถ่านหินยังคงทรงตัว เพราะได้มีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ราคาถ่านหินที่ปรับลดลงในตลาดโลกประมาณ 50% ไม่มีผลกระทบต่อบริษัทเนื่องจากช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้มีการลดจำนวนวันในการสต็อกสินค้าจากเดิม 90 วัน เหลือเพียง 75 วัน เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในส่วนดังกล่าว
ส่วนแผนการดำเนินงานในปี 2552 นั้น บริษัทเตรียมปรับลดงบลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งงบลงทุนไว้ 300-400 ล้านบาท และมีแนวโน้มจะชะลอโครงการจากเดิมที่เป็นการซื้อที่ดินเพื่อสร้างคลังสินค้า อาจปรับเปลี่ยนมาเป็นการเช่าแทนหรือลดขนาดโครงการ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีคลังสินค้าที่ตำบลสวนส้ม จังหวัดสมุทรสาคร และที่นครหลวง จังหวัดอยุธยา สามารถรองรับสินค้าได้
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า จากปัญหาสภาพเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ทำให้บริษัทมีแนวโน้มชะลอการลงทุนในโครงการคลังสินค้าในภาคตะวันออกและภาคใต้ จากเป้าหมายเดิมที่จะซื้อที่ดินและท่าเทียบเรือมูลค่ารวม 500-600 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทต้องทบทวนอีกครั้งถึงความต้องการของกลุ่มอุตสาหกรรมในแถบดังกล่าว ซึ่งทางภาคใต้ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมเกี่ยวกับยางพารา ที่อาจได้รับผลกระทบจากธุรกิจยานยนต์ชะลอตัว ดังนั้นบริษัทจึงอาจจะชะลอการลงทุนออกไปก่อน เพราะเห็นว่าไปช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม
ส่วนโครงการลงทุนเหมืองถ่านหินที่ประเทศอินโดนีเซียนั้น ปัจจุบันได้มีการเจรจากับพันธมิตรที่มีอยู่ประมาณ 3-4 ราย ซึ่งมองว่าจะเข้าไปลงทุนระยะยาว และคาดว่าแนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในปีหน้าจะปรับลง แต่ทางบริษัทมองว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นเป็นโอกาสที่จะเข้าไปหาพันธมิตรมากขึ้น เพื่อสนับสนุนการเติบโตบริษัทในอนาคต
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ชะลอโครงการที่จะปรับเปลี่ยนเชื่อเพลิงของรถบรรทุกจากน้ำมันเป็นก๊าซเอ็นจีวี หลังจากที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง โดยปัจจุบันบริษัทมีรถบรรทุกอยู่ 24 คัน ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนอยู่ที่คันละ 6 แสนบาท รวมมูลค่า 15 ล้านบาท รวมทั้งได้ชะลอแผนซื้อเรือมือสอง จากเดิมที่ตั้งเป้าซื้อเรือมือสองเพิ่ม 5 ลำ ด้วยงบลงทุน 5-6 ล้านบาท/ลำ มูลค่าโครงการ 30 ล้านบาท ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมีเรือมือสองอยู่ที่ 5 ลำ ซึ่งคาดว่าน่าเพียงพอในการดำเนินธุรกิจ