"นวลิสซิ่ง"เปิดแผนปีหน้าเน้นปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ และรับบริหารหนี้เน่า ชี้ผลประกอบการปีนี้เข้าเป้าหมายทุกอย่าง พร้อมคุมเอ็นพีแอลไม่เกิน 2.5% ยันเศรษฐกิจชะลอตัวปีหน้าไม่กระทบการทำธุรกิจ
นายรัตนชัย นันทปราโมทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นวลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การทำธุรกิจในปีหน้าบริษัทจะยังคงเน้นการปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ รวมทั้งการรับบริหารหนี้เสียให้กับสถาบันการเงินผ่านบริษัทลูก คือ บริษัทเบรสซิ่ง แอคเซสเซอร์วิสเหมือนเดิม เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ดำเนินธุรกิจตามแผนดังกล่าวแล้วประสบความสำเร็จค่อนข้างมากทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ มองว่าผลการดำเนินงานและการขยายตัวของธุรกิจในปีหน้าจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปีนี้ เนื่องจากแม้ว่าเศรษฐกิจในปีหน้าอาจจะชะลอตัว รวมถึงยอดขายรถยนต์อาจจะลดลง แต่จากการที่บริษัทไม่ได้ปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ จึงไม่น่าจะได้รับผลกระทบ โดยธุรกิจที่บริษัทเน้นในด้านการรับจำนำทะเบียนเป็นหลัก
"การดำเนินธุรกิจของเราตอนนี้คิดว่าเดินมาถูกทางแล้ว ถึงแม้ว่าในปีหน้าสภาพเศรษฐกิจโลกจะมีการชะลอตัวและส่งผลกระทบต่อไทยในทางอ้อม
ซึ่งทำให้หลายบริษัทกังวลว่าจะทำธุรกิจลำบากขึ้น และแม้ว่าในปีหน้ายอดขายรถจะไม่โตก็ตาม แต่บริษัทก็ไม่ห่วง เพราะบริษัทจะบริหารรถที่มีอยู่ในพอร์ตต่อไป ขณะเดียวกันการทำธุรกิจรับบริหารหนี้ที่ทางบริษัทเบรสซิ่ง แอคเซสเซอร์วิส รับมาและจะส่งให้ทางบริษัทแม่เป็นผู้บริหารหนี้นั้นก็เป็นสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญมากเช่นกัน เนื่องจากไม่มีความเสี่ยง เพราะไม่ต้องไปประมูลมา"
นายรัตนชัย กล่าวว่า ในปีหน้าบริษัทยังตั้งเป้าหมายที่จะขยายสาขาตัวแทน เพื่อปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถเพิ่มอีก 50 ตัวแทน จากปัจจุบันบริษัทมีตัวแทนทั้งหมด 250 ตัวแทน โดยจะมุ่งเน้นขยายไปยังแถบภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ตหรือเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ เพราะบริษัทมองว่าภูมิภาคดังกล่าวเอื้อต่อการทำธุรกิจของบริษัทมากพอสมควร ประกอบกับการท่องเที่ยวในปีหน้าจะยังคงมีประสิทธิภาพจากที่ภาครัฐมีนโยบายให้ความสำคัญและสนับสนุน
สำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ปีหน้า มองว่าแนวโน้มน่าจะลดลง เนื่องจากบริษัทมีการเตรียมการแก้ปัญหาไว้แล้ว ส่วนแนวโน้มเอ็นพีแอลของระบบอุตสาหกรรมนั้น เชื่อว่าคงจะปรับเพิ่มขึ้นแน่นอน หากผู้ประกอบการไม่มีแผนรองรับที่ดี เพราะในปัจจุบันเอ็นพีแอลของระบบอุตสาหกรรมอยู่ที่ 7-8% ส่วนหนี้เอ็นพีแอลของบริษัทในสิ้นปีนี้จะควบคุมให้อยู่ที่ไม่เกิน 2.5% จากปัจจุบันอยู่ที่ 3.1% เนื่องจากบริษัทจะให้ความสำคัญกับการบริหารหนี้เสียด้วยการเข้าไปดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด ไม่ใช้นโยบายการทวงหนี้แบบใกล้ชิดเกินไป แต่จะเป็นการดูว่าลูกค้าแต่ละรายมีปัญหาอย่างไรบ้าง เช่น อาจจะมีการผ่อนผันการชำระหนี้ หรือมีการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกค้า โดยใช้นโยบายเข้าใจ รู้ซึ้งใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น จะได้ไม่เกิดความเสียหายทั้ง 2 ฝ่าย
ด้านผลการดำเนินงานของบริษัทช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ตั้งแต่ต้นปีและมีอัตราเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงดียวกันของปี 2550 โดยบริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นสุทธิ 14% จากรายรับของดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 44% หรือเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่กว่า 7 ล้านบาท จากปีที่แล้วรายรับดอกเบี้ยอยู่ที่ 5 ล้านบาท ส่วนไตรมาส 4 ของปีนี้บริษัทก็คาดว่าน่าจะเติบโตเพิ่มขึ้น เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวบริษัทไม่ต้องมีรายจ่ายมากนัก ทั้งงบประมาณการโฆษณาและรายจ่ายอื่นๆ ดังนั้นจึงมั่นใจว่าทั้งปีนี้ผลประกอบการของบริษัทจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ ในปัจจุบันบริษัทมียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 2,500 ล้านบาท
"ในสภาพที่เศรษฐกิจเป็นแบบนี้ เรื่องของการยึดรถนั้นบริษัทยอมรับว่าก็มีบ้าง ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะมีลูกค้าบางรายเมื่อเกิดปัญหาแล้วไม่ผ่อนชำระหนี้ บริษัทก็จำเป็นจะต้องยึดรถแต่ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนในปัจจุบันถือว่าน้อยลงแล้ว โดยบริษัทมีจำนวนรถที่ยึดมาประมาณ 130 คัน จากเมื่อก่อนอยู่ที่ 500-600 คัน แต่บริษัทมองว่าจำนวนรถที่ยึดมานั้นไม่สำคัญเท่าไร ซึ่งจะทำอย่างไรให้การบริหารรถที่ยึดมาแล้วให้มีมูลค่าเพิ่มเป็นสิ่งสำคัญกว่า"
นายรัตนชัย นันทปราโมทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นวลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การทำธุรกิจในปีหน้าบริษัทจะยังคงเน้นการปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ รวมทั้งการรับบริหารหนี้เสียให้กับสถาบันการเงินผ่านบริษัทลูก คือ บริษัทเบรสซิ่ง แอคเซสเซอร์วิสเหมือนเดิม เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ดำเนินธุรกิจตามแผนดังกล่าวแล้วประสบความสำเร็จค่อนข้างมากทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ มองว่าผลการดำเนินงานและการขยายตัวของธุรกิจในปีหน้าจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปีนี้ เนื่องจากแม้ว่าเศรษฐกิจในปีหน้าอาจจะชะลอตัว รวมถึงยอดขายรถยนต์อาจจะลดลง แต่จากการที่บริษัทไม่ได้ปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ จึงไม่น่าจะได้รับผลกระทบ โดยธุรกิจที่บริษัทเน้นในด้านการรับจำนำทะเบียนเป็นหลัก
"การดำเนินธุรกิจของเราตอนนี้คิดว่าเดินมาถูกทางแล้ว ถึงแม้ว่าในปีหน้าสภาพเศรษฐกิจโลกจะมีการชะลอตัวและส่งผลกระทบต่อไทยในทางอ้อม
ซึ่งทำให้หลายบริษัทกังวลว่าจะทำธุรกิจลำบากขึ้น และแม้ว่าในปีหน้ายอดขายรถจะไม่โตก็ตาม แต่บริษัทก็ไม่ห่วง เพราะบริษัทจะบริหารรถที่มีอยู่ในพอร์ตต่อไป ขณะเดียวกันการทำธุรกิจรับบริหารหนี้ที่ทางบริษัทเบรสซิ่ง แอคเซสเซอร์วิส รับมาและจะส่งให้ทางบริษัทแม่เป็นผู้บริหารหนี้นั้นก็เป็นสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญมากเช่นกัน เนื่องจากไม่มีความเสี่ยง เพราะไม่ต้องไปประมูลมา"
นายรัตนชัย กล่าวว่า ในปีหน้าบริษัทยังตั้งเป้าหมายที่จะขยายสาขาตัวแทน เพื่อปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถเพิ่มอีก 50 ตัวแทน จากปัจจุบันบริษัทมีตัวแทนทั้งหมด 250 ตัวแทน โดยจะมุ่งเน้นขยายไปยังแถบภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ตหรือเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ เพราะบริษัทมองว่าภูมิภาคดังกล่าวเอื้อต่อการทำธุรกิจของบริษัทมากพอสมควร ประกอบกับการท่องเที่ยวในปีหน้าจะยังคงมีประสิทธิภาพจากที่ภาครัฐมีนโยบายให้ความสำคัญและสนับสนุน
สำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ปีหน้า มองว่าแนวโน้มน่าจะลดลง เนื่องจากบริษัทมีการเตรียมการแก้ปัญหาไว้แล้ว ส่วนแนวโน้มเอ็นพีแอลของระบบอุตสาหกรรมนั้น เชื่อว่าคงจะปรับเพิ่มขึ้นแน่นอน หากผู้ประกอบการไม่มีแผนรองรับที่ดี เพราะในปัจจุบันเอ็นพีแอลของระบบอุตสาหกรรมอยู่ที่ 7-8% ส่วนหนี้เอ็นพีแอลของบริษัทในสิ้นปีนี้จะควบคุมให้อยู่ที่ไม่เกิน 2.5% จากปัจจุบันอยู่ที่ 3.1% เนื่องจากบริษัทจะให้ความสำคัญกับการบริหารหนี้เสียด้วยการเข้าไปดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด ไม่ใช้นโยบายการทวงหนี้แบบใกล้ชิดเกินไป แต่จะเป็นการดูว่าลูกค้าแต่ละรายมีปัญหาอย่างไรบ้าง เช่น อาจจะมีการผ่อนผันการชำระหนี้ หรือมีการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกค้า โดยใช้นโยบายเข้าใจ รู้ซึ้งใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น จะได้ไม่เกิดความเสียหายทั้ง 2 ฝ่าย
ด้านผลการดำเนินงานของบริษัทช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ตั้งแต่ต้นปีและมีอัตราเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงดียวกันของปี 2550 โดยบริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นสุทธิ 14% จากรายรับของดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 44% หรือเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่กว่า 7 ล้านบาท จากปีที่แล้วรายรับดอกเบี้ยอยู่ที่ 5 ล้านบาท ส่วนไตรมาส 4 ของปีนี้บริษัทก็คาดว่าน่าจะเติบโตเพิ่มขึ้น เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวบริษัทไม่ต้องมีรายจ่ายมากนัก ทั้งงบประมาณการโฆษณาและรายจ่ายอื่นๆ ดังนั้นจึงมั่นใจว่าทั้งปีนี้ผลประกอบการของบริษัทจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ ในปัจจุบันบริษัทมียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 2,500 ล้านบาท
"ในสภาพที่เศรษฐกิจเป็นแบบนี้ เรื่องของการยึดรถนั้นบริษัทยอมรับว่าก็มีบ้าง ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะมีลูกค้าบางรายเมื่อเกิดปัญหาแล้วไม่ผ่อนชำระหนี้ บริษัทก็จำเป็นจะต้องยึดรถแต่ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนในปัจจุบันถือว่าน้อยลงแล้ว โดยบริษัทมีจำนวนรถที่ยึดมาประมาณ 130 คัน จากเมื่อก่อนอยู่ที่ 500-600 คัน แต่บริษัทมองว่าจำนวนรถที่ยึดมานั้นไม่สำคัญเท่าไร ซึ่งจะทำอย่างไรให้การบริหารรถที่ยึดมาแล้วให้มีมูลค่าเพิ่มเป็นสิ่งสำคัญกว่า"