ผู้บริหาร “อินเตอร์ลิงค์ฯ” โวไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินโลกที่ส่งผลทำให้เศรษฐกิจโลกหดตัว เหตุประเมินเหตุการณ์ไว้ตั้งแต่ต.ค. 50 ทำให้ปรับตัวได้ทัน พร้อมมั่นใจรายได้ปีนี้โตได้ตามเป้าที่ 1,080 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 100 ล้านบาท หลังผลงานรอบ 9 เดือนทำรายได้แล้วกว่า 700 ล้านบาท ขณะที่ปีหน้าตั้งเป้าโตอีก 20%
นายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK กล่าวว่า บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤตการเงินโลกที่ทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว เนื่องจากบริษัทได้คาดการณ์ไว้ตั้งแต่ประมาณเดือนตุลาคมของปี 2550 แล้ว โดยบริษัทได้สต็อกสินค้าในปริมาณที่น้อยทำให้ไม่มีความเสี่ยงในการบริหารต้นทุน แม้ราคาทองแดงในปัจจุบันจะปรับลดลงมาอยู่ที่ 3,000 กว่าเหรียญสหรัฐต่อตัน จากช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 8,000 เหรียญสหรัฐต่อตัน
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2551 นั้น บริษัทมีกำไรสุทธิ 36.55 ล้านบาท และในรอบ 9 เดือน บริษัทมีรายได้รวม 738.28 ล้านบาท ทำให้บริษัทคาดว่าจะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่รายได้ 1,080 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 100 ล้านบาท
ส่วนการดำเนินธุรกิจนั้น ปัจจุบันดำเนินงานอยู่ 2 รูปแบบ คือ 1.งานจากการขายชิ้นส่วนที่เกี่ยวกับเคเบิ้ลไยแก้ว และ 2.งานเกี่ยวกับด้านวิศกรรม ที่มีงานอยู่ในมือ (BLACK LOG) ณ วันที่ (30 ก.ย.) ประมาณ 8 โครงการ มูลค่ารวม 602.66 ล้านบาท อาทิเช่น โครงการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค งาน(Optical Fiber Cable) งานเดินสายเคเบิ้ลไยแก้ว เพื่อนำไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ต (Submarine) ไปที่เกาะช้าง,เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี และงาน(Submarine) ที่เกาะปูยู จังหวัดสตูล
“ไตรมาส 4 ปีนี้ บริษัทเตรียมจะเข้าร่วมประมูลงานจำนวน 2 โครงการ มูลค่ารวม 1,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะชนะการประมูลงานได้มูลค่าประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งจากผลการดำเนินงานและงานในมือที่มีอยู่ทำให้ปี 52 บริษัทไม่ต้องเครียด โดยคาดว่าในปี 52 บริษัทจะสามารถเติบโตได้ 20%”
สำหรับงานเดินสายเคเบิ้ลไยแก้วไปยังเกาะปูยู จังหวัดสตูล นั้น เป็นโครงการเร่งด่วนของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงเห็นว่าเกาะดังกล่าวไม่มีไฟฟ้าใช้ในเวลากลางคืนครั้งเสด็จไป เมื่อเทียบกับประเทศมาเลเซีย ซึ่งรับงานมาเมื่อเดือน (ต.ค.) และมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือน (ม.ย.) ปี 2552 แต่ทางบริษัทจะพยายามให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนมกราคมของปี 2552 โดยโครงการที่กล่าวมาสามารถรับรู้รายได้บางส่วนได้ในไตรมาส 4 ของปี 2551
นอกจากนี้ ในปี 2552 มีโครงอยู่หลายโครงการมูลค่ากว่าหลายพันล้านบาท บริษัทประเมินว่าน่าจะเข้าร่วมโครงการต่างๆ ประมาณมูลค่า 2 พันล้านบาท และตั้งเป้าที่จะได้ประมาณ 1 พันล้านบาท ส่วนโครงการเมกะโปรเจกต์ ซึ่งเป็นการลงทุนของภาครัฐ และไม่น่ามีเอกชนเข้าไปร่วมลงทุนมากนัก
“บริษัทจุดเด่นได้เปรียบมากกว่าคู่แข่งขัน เนื่องจากมีกระแสเงินสดที่สูง และมีต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่งขัน จึงทำให้มีความสามารถในการรับงานได้ดี อีกทั้งในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ บริษัทยายามจะไม่ลงทุนในธุรกิจที่ไม่เคยมีประสบการณ์ และมีความเสี่ยงสูง เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น”
ส่วนราคาหุ้นในปัจจุบันที่ปรับลงมา ทางบริษัทไม่มีแผนจะซื้อหุ้นคืน เนื่องจากราคาหุ้นที่แท้จริงจะสะท้อนผลการดำเนินงานที่แท้จริงของบริษัท ซึ่งบริษัทยังจะเน้นการทำธุรกิจและไม่มีนโนบายในการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้น
นายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK กล่าวว่า บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤตการเงินโลกที่ทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว เนื่องจากบริษัทได้คาดการณ์ไว้ตั้งแต่ประมาณเดือนตุลาคมของปี 2550 แล้ว โดยบริษัทได้สต็อกสินค้าในปริมาณที่น้อยทำให้ไม่มีความเสี่ยงในการบริหารต้นทุน แม้ราคาทองแดงในปัจจุบันจะปรับลดลงมาอยู่ที่ 3,000 กว่าเหรียญสหรัฐต่อตัน จากช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 8,000 เหรียญสหรัฐต่อตัน
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2551 นั้น บริษัทมีกำไรสุทธิ 36.55 ล้านบาท และในรอบ 9 เดือน บริษัทมีรายได้รวม 738.28 ล้านบาท ทำให้บริษัทคาดว่าจะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่รายได้ 1,080 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 100 ล้านบาท
ส่วนการดำเนินธุรกิจนั้น ปัจจุบันดำเนินงานอยู่ 2 รูปแบบ คือ 1.งานจากการขายชิ้นส่วนที่เกี่ยวกับเคเบิ้ลไยแก้ว และ 2.งานเกี่ยวกับด้านวิศกรรม ที่มีงานอยู่ในมือ (BLACK LOG) ณ วันที่ (30 ก.ย.) ประมาณ 8 โครงการ มูลค่ารวม 602.66 ล้านบาท อาทิเช่น โครงการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค งาน(Optical Fiber Cable) งานเดินสายเคเบิ้ลไยแก้ว เพื่อนำไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ต (Submarine) ไปที่เกาะช้าง,เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี และงาน(Submarine) ที่เกาะปูยู จังหวัดสตูล
“ไตรมาส 4 ปีนี้ บริษัทเตรียมจะเข้าร่วมประมูลงานจำนวน 2 โครงการ มูลค่ารวม 1,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะชนะการประมูลงานได้มูลค่าประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งจากผลการดำเนินงานและงานในมือที่มีอยู่ทำให้ปี 52 บริษัทไม่ต้องเครียด โดยคาดว่าในปี 52 บริษัทจะสามารถเติบโตได้ 20%”
สำหรับงานเดินสายเคเบิ้ลไยแก้วไปยังเกาะปูยู จังหวัดสตูล นั้น เป็นโครงการเร่งด่วนของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงเห็นว่าเกาะดังกล่าวไม่มีไฟฟ้าใช้ในเวลากลางคืนครั้งเสด็จไป เมื่อเทียบกับประเทศมาเลเซีย ซึ่งรับงานมาเมื่อเดือน (ต.ค.) และมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือน (ม.ย.) ปี 2552 แต่ทางบริษัทจะพยายามให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนมกราคมของปี 2552 โดยโครงการที่กล่าวมาสามารถรับรู้รายได้บางส่วนได้ในไตรมาส 4 ของปี 2551
นอกจากนี้ ในปี 2552 มีโครงอยู่หลายโครงการมูลค่ากว่าหลายพันล้านบาท บริษัทประเมินว่าน่าจะเข้าร่วมโครงการต่างๆ ประมาณมูลค่า 2 พันล้านบาท และตั้งเป้าที่จะได้ประมาณ 1 พันล้านบาท ส่วนโครงการเมกะโปรเจกต์ ซึ่งเป็นการลงทุนของภาครัฐ และไม่น่ามีเอกชนเข้าไปร่วมลงทุนมากนัก
“บริษัทจุดเด่นได้เปรียบมากกว่าคู่แข่งขัน เนื่องจากมีกระแสเงินสดที่สูง และมีต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่งขัน จึงทำให้มีความสามารถในการรับงานได้ดี อีกทั้งในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ บริษัทยายามจะไม่ลงทุนในธุรกิจที่ไม่เคยมีประสบการณ์ และมีความเสี่ยงสูง เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น”
ส่วนราคาหุ้นในปัจจุบันที่ปรับลงมา ทางบริษัทไม่มีแผนจะซื้อหุ้นคืน เนื่องจากราคาหุ้นที่แท้จริงจะสะท้อนผลการดำเนินงานที่แท้จริงของบริษัท ซึ่งบริษัทยังจะเน้นการทำธุรกิจและไม่มีนโนบายในการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้น