xs
xsm
sm
md
lg

TUFฟุ้งปีนี้ขายเข้าเป้า2พันล้านเหรียญฯ เหตุขายปลาทูน่าพุ่งน้ำมันลดยอดขายโต

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

TUF มั่นใจปีนี้ยอดขายเข้าเป้า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หลังไตรมาส 3 กำไรพุ่งถึง 116% เนื่องจากรายได้เพิ่มขึ้น ราคาทูน่ากระป๋องสูงและน้ำมันลด ขณะที่ 9 เดือนโกยไป 1,893.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เชื่อสหรัฐฯไม่กีดกันการค้า ขณะที่หั่นงบลงทุนปี 52 เหลือ 1,200 ล้านบาท มั่นใจโตปีละไม่ต่ำกว่า 12% ถึงปี 55

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) (TUF) เปิดเผยผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปีนี้ว่ามีกำไรสุทธิ 911.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่กำไรสุทธิ 422.4 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 116 % โดยเป็นรายได้จากการขายในรูปของเงินเหรียญสหรัฐเท่ากับ 544.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และรายได้จากยอดในรูปของเงินบาท 18,430.7 ล้านบาท ขณะที่ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพมากขึ้น ไม่มีความผันผวนเหมือนครึ่งปีแรกรวมทั้งราคาน้ำมันและวัตถุดิบปลาทูน่าปรับลดลง

" แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว เนื่องจากปัญหาวิกฤตการเงินของสหรัฐอเมริกา แต่บริษัทยังไม่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายอยู่ที่ 1,893.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับสิ้นปี 50 มียอดขายอยู่ที่ 1,823 ล้านเหรียญสหรัฐ จึงมั่นใจปีนี้ยอดขายสามารถโตได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐหรือโตขึ้น 14 %" นายธีรพงศ์ กล่าว

ขณะที่ เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว มองว่าไม่กระทบกับการส่งออกในตลาดต่างๆ เนื่องจากสินค้าอาหารทะเลแช่แข็ง เป็นสินค้าอุปโภคและบริโภค จึงได้รับผลกระทบน้อย และในทางกลับกันบริษัทมองเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ จะทำให้ประชาชนหันกลับมาซื้อสินค้าในซุปเปอร์มาร์เก็ตแทนการรับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น

นายธีรพงศ์กล่าวต่อว่า นโยบายกีดกันทางการค้าจากเอเชีย ของนายบารัค โอบามา ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ มองว่าทำได้ยาก เนื่องจากมีองค์การการค้าโลก(WTO) ดูแลอยู่ และมองว่าสิ่งที่รัฐบาลสหรัฐจะต้องเร่งแก้ไขคือ ช่วยเหลืออุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อลดอัตราการว่างงาน เน้นลดภาษีชนชั้นกลางลงมา เพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศให้สูงขึ้นนั้น ถือเป็นผลดีที่ช่วยส่งเสริมธุรกิจของบริษัทมากกว่า

สำหรับไตรมาส 3 ปีนี้ ผลิตภัณฑ์ปลาทูน่ายังคงมีสัดส่วนสูงสุดคือ 46% รองลงมาคือ กุ้งแช่แข็ง 20% อาหารแมวบรรจุกระป๋อง 9% และยอดขายผลิตภัณฑ์อื่นในประเทศอีก 10 % ส่วนตลาดส่งออกหลักที่สำคัญได้แก่ สหรัฐฯ 53% สหภาพยุโรป 15% ญี่ปุ่น 10% และอีก 12 % จากประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก

ปัจจุบัน บริษัทมีกองเรือ 4 ลำ ที่สามารถจับปลาทูน่าได้อยู่ที่ 20,000 ตันต่อปี ส่วนที่เหลือจะซื้อวัตถุดิบจากตลาดเนื่องจากราคาปรับลดลงมากแล้ว โดยเฉพาะสินค้าประเภททูน่าที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 3.5 แสนตันต่อปี ซึ่งขณะนี้ราคาปลาทูน่าอยู่ที่ 1,400 เหรียญสหรัฐต่อตัน และมีแนวโน้มลดเหลือ 1,300 เหรียญสหรัฐต่อตัน เทียบจากช่วงครึ่งปีแรกที่ราคาสูงถึง 1,900 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพราะราคาน้ำมันปรับลด ส่งผลให้ต้นทุนลดลง

สำหรับปี 52 บริษัทตั้งเป้าใช้งบลงทุนตลอดทั้งปีไม่เกิน 1,200 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 1,200-1,500 ล้านบาทต่อปี เพราะบริษัทมีเครื่องจักรพร้อมอยู่แล้ว แต่เงินลงทุนดังกล่าวจะใช้เพื่อจ้างแรงงานเพิ่มเติม ขณะที่ยังไม่มีแผนการลงทุนธุรกิจอื่น ๆ โดยคาดว่าจะชะลอไปอีก 3-6 เดือน เพราะราคาของทรัพย์สินต่างๆ ยังลงไม่ถึงจุดต่ำสุด

นอกจากนี้ บริษัทจะเน้นขยายฐานการส่งออกไปประเทศญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น หลังค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นกว่า 20% ส่งผลให้ประเทศญี่ปุ่นมีศักยภาพมากขึ้น อีกทั้งบริษัทยังตั้งเป้ายอดขายให้ถึง 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเติบโต 12% และตั้งเป้ายอดขายเติบโตต่อเนื่องปีละ 12% ถึงปี 55 แม้ว่าเศรษฐกิจจะไม่ดี เพราะมั่นใจเติบโตต่อเนื่องได้
กำลังโหลดความคิดเห็น