ACAP มั่นใจปีนี้รายได้ทะลุ 1 พันล้านบาท แม้เกิดวิกฤตการเงิน เหตุทะยอยรับรู้งานในมือ เตรียมเข้าประมูลงานในมาเลเซียอีกมูลค่า 1 -2 พันล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจา เล็งเข้าประมูลงานในเวียดนาม เพราะเศรษฐกิจเฟื่องฟูเชื่อมีหนี้เสียในระบบ ขณะที่งานวาณิชธนกิจเลื่อนและเลื่อนรับรู้รายได้ โบรกฯ แนะนำ "ซื้อ " เชื่อเศรษฐกิจชะลอส่งผลดีต่อบริษัท
ดร.วิวัฒน์ วิฑูรย์เธียร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอแคป แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ ACAP เปิดเผยว่าภาวะเศรษฐกิจที่กำลังเกิดวิกฤตทั่วโลก ทำให้การบริหารงานและดำเนินงานลำบากมาก อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเดินหน้าประมูลงานเพิ่ม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาประมูลงานในมาเลเซีย วงเงิน 1 -2 พันล้านบาท ส่วนการเข้าประมูลงานในฟิลิปปินส์นั้นยังลังเล เพราะขณะนี้ถือว่ามีความเสี่ยงสูงผลจากภาวะวิกฤตการเงินที่กระทบไปทั่วโลก
" แต่เราก็มองเวียดนามไว้ คาดว่าจะเข้าไปประมูลงานได้กลางปี 52 ขณะที่ปัจจุบันถือว่าการขยับไปทางไหนก็มีความเสี่ยง เพราะวิกฤตการเงินสหรัฐฯ ที่ลามไปทั่วโลก ส่งผลให้การทำงานลำบากและมีความเสี่ยงมากขึ้น " ดร.วิวัฒน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม การเข้าประมูลงานของ ACAP ถือว่าได้เปรียบบ้าง หลังจากมี The International Finance Corporation หรือ IFC ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มธนาคารโลกจะเข้าลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทประมาณ 5% โดยจะซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมที่ไม่ใช่กลุ่มตระกูลวิฑูรย์เธียรและกลุ่มผู้บริหารของบริษัท ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาเงื่อนไขเพื่อร่วมกันบริหารการดำเนินงาน
การเข้ามาของ IFC ถือว่าเสริมความแกร่งด้านการเงินให้กับ ACAP เพราะ IFC มีเครือข่ายทั่วโลก ซึ่งพันธมิตรที่แข็งแกร่ง และน่าเชื่อถือระดับโลก จะส่งผลให้บริษัทเป็นที่รู้จักในระดับสากลและสามารถออกไปรับงานในต่างประเทศได้ง่ายขึ้น หลังจากแต่เดิมการลุยงานต่างประเทศเป็นการรับจ้างบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ แต่หลังจากมีพันธมิตรที่ดีจะทำให้บริษัทเข้าร่วมประมูลงานได้ต่างประเทศได้ไม่ยาก โดยเน้นประเทศเพื่อนบ้านก่อน
โดยปีนี้แม้วิกฤตเศรษฐกิจ แต่ ACAP มั่นใจว่าจะทำรายได้ทะลุเกิน 1 พันล้านบาทหรือสูงกว่าปี 50 เพราะงานในมือที่บริหารอยู่ โดย ซึ่งการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ 40-45% สินเชื่อบุคคล 35% และที่ปรึกษาทางการเงินและวาณิชธนกิจ 20 %
ปัจจุบัน ACAP มีพอร์ตสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่บริหารอยู่ 40,000 ล้านบาท โดย 2,5,00 ล้านบาท อยู่ในมาเลเซีย และส่วนที่เหลืออยู่ในไทย และในปีนี้จะเข้าประมูลงานอีก 2-3 แห่ง มูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้งานประมาณ 10,000 ล้านบาทหรืออาจได้งานหมด คาดดีลนี้จะสรุปได้สิ้นปีนี้ ขณะที่งานที่ปรึกษาทางการเงินและวาณิชธนกิจที่ก่อนหน้าคาดว่าจะแล้วเสร็จ 4-5 ดีล จาก 10 ดีลที่มีอยู่ คงต้องเลื่อนออกไป เนื่องจากพิษเศรษฐกิจ ส่งผลให้ตัวเลขรายได้จากส่วนนี้ ที่คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 70-80 ล้านบาท และทยอยรับรู้รายได้ปลายปี 51 อาจต้องเลื่อนไปเป็นบางส่วนด้วย
บล.ทรีนิตี้ ประเมินว่า ACAP มีความน่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากมูลค่าทางบัญชีที่ 14.99 บาทต่อหุ้น เงินสด 15.68 บาทต่อหุ้น อีกทั้งกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 6 เดือนไหลเข้าแข็งแกร่งที่ 4.08 บาท ปรับเพิ่มราคาเหมาะสมจากการปรับปีอ้างอิงเป็น 52 ได้ราคาเหมาะสมใหม่ที่ 20 บาท คงคำแนะนำ"ซื้อ"
หลังผลงานไตรมาส 2 ออกมาพบว่ารายได้เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้น 19% จากรายได้ของการ
บริหารพอร์ตสินเชื่อและการปล่อยสินเชื่อสำหรับผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น แต่ก็ปรับตัวดีขึ้น เพราะได้ส่งคืนพอร์ตบริหารคืนแก่ลูกค้าและไม่มีรายได้จากการปล่อยสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค และการขาดทุนสำรองด้อยค่าเงินเป็นปกติของการซื้อพอร์ตสินเชื่อใหม่ คาดกำไรสุทธิปีนี้ 210 ล้านบาท และธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจะได้รับผลดีแม้เศรษฐกิจชะลอตัวในระบบแบงก์พาณิชย์ปรับเพิ่ม ทำให้แบงก์จำหน่ายสินทรัพย์ออกมา เป็นโอกาสดีต่อ ACAP
ดร.วิวัฒน์ วิฑูรย์เธียร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอแคป แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ ACAP เปิดเผยว่าภาวะเศรษฐกิจที่กำลังเกิดวิกฤตทั่วโลก ทำให้การบริหารงานและดำเนินงานลำบากมาก อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเดินหน้าประมูลงานเพิ่ม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาประมูลงานในมาเลเซีย วงเงิน 1 -2 พันล้านบาท ส่วนการเข้าประมูลงานในฟิลิปปินส์นั้นยังลังเล เพราะขณะนี้ถือว่ามีความเสี่ยงสูงผลจากภาวะวิกฤตการเงินที่กระทบไปทั่วโลก
" แต่เราก็มองเวียดนามไว้ คาดว่าจะเข้าไปประมูลงานได้กลางปี 52 ขณะที่ปัจจุบันถือว่าการขยับไปทางไหนก็มีความเสี่ยง เพราะวิกฤตการเงินสหรัฐฯ ที่ลามไปทั่วโลก ส่งผลให้การทำงานลำบากและมีความเสี่ยงมากขึ้น " ดร.วิวัฒน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม การเข้าประมูลงานของ ACAP ถือว่าได้เปรียบบ้าง หลังจากมี The International Finance Corporation หรือ IFC ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มธนาคารโลกจะเข้าลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทประมาณ 5% โดยจะซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมที่ไม่ใช่กลุ่มตระกูลวิฑูรย์เธียรและกลุ่มผู้บริหารของบริษัท ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาเงื่อนไขเพื่อร่วมกันบริหารการดำเนินงาน
การเข้ามาของ IFC ถือว่าเสริมความแกร่งด้านการเงินให้กับ ACAP เพราะ IFC มีเครือข่ายทั่วโลก ซึ่งพันธมิตรที่แข็งแกร่ง และน่าเชื่อถือระดับโลก จะส่งผลให้บริษัทเป็นที่รู้จักในระดับสากลและสามารถออกไปรับงานในต่างประเทศได้ง่ายขึ้น หลังจากแต่เดิมการลุยงานต่างประเทศเป็นการรับจ้างบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ แต่หลังจากมีพันธมิตรที่ดีจะทำให้บริษัทเข้าร่วมประมูลงานได้ต่างประเทศได้ไม่ยาก โดยเน้นประเทศเพื่อนบ้านก่อน
โดยปีนี้แม้วิกฤตเศรษฐกิจ แต่ ACAP มั่นใจว่าจะทำรายได้ทะลุเกิน 1 พันล้านบาทหรือสูงกว่าปี 50 เพราะงานในมือที่บริหารอยู่ โดย ซึ่งการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ 40-45% สินเชื่อบุคคล 35% และที่ปรึกษาทางการเงินและวาณิชธนกิจ 20 %
ปัจจุบัน ACAP มีพอร์ตสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่บริหารอยู่ 40,000 ล้านบาท โดย 2,5,00 ล้านบาท อยู่ในมาเลเซีย และส่วนที่เหลืออยู่ในไทย และในปีนี้จะเข้าประมูลงานอีก 2-3 แห่ง มูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้งานประมาณ 10,000 ล้านบาทหรืออาจได้งานหมด คาดดีลนี้จะสรุปได้สิ้นปีนี้ ขณะที่งานที่ปรึกษาทางการเงินและวาณิชธนกิจที่ก่อนหน้าคาดว่าจะแล้วเสร็จ 4-5 ดีล จาก 10 ดีลที่มีอยู่ คงต้องเลื่อนออกไป เนื่องจากพิษเศรษฐกิจ ส่งผลให้ตัวเลขรายได้จากส่วนนี้ ที่คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 70-80 ล้านบาท และทยอยรับรู้รายได้ปลายปี 51 อาจต้องเลื่อนไปเป็นบางส่วนด้วย
บล.ทรีนิตี้ ประเมินว่า ACAP มีความน่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากมูลค่าทางบัญชีที่ 14.99 บาทต่อหุ้น เงินสด 15.68 บาทต่อหุ้น อีกทั้งกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 6 เดือนไหลเข้าแข็งแกร่งที่ 4.08 บาท ปรับเพิ่มราคาเหมาะสมจากการปรับปีอ้างอิงเป็น 52 ได้ราคาเหมาะสมใหม่ที่ 20 บาท คงคำแนะนำ"ซื้อ"
หลังผลงานไตรมาส 2 ออกมาพบว่ารายได้เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้น 19% จากรายได้ของการ
บริหารพอร์ตสินเชื่อและการปล่อยสินเชื่อสำหรับผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น แต่ก็ปรับตัวดีขึ้น เพราะได้ส่งคืนพอร์ตบริหารคืนแก่ลูกค้าและไม่มีรายได้จากการปล่อยสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค และการขาดทุนสำรองด้อยค่าเงินเป็นปกติของการซื้อพอร์ตสินเชื่อใหม่ คาดกำไรสุทธิปีนี้ 210 ล้านบาท และธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจะได้รับผลดีแม้เศรษฐกิจชะลอตัวในระบบแบงก์พาณิชย์ปรับเพิ่ม ทำให้แบงก์จำหน่ายสินทรัพย์ออกมา เป็นโอกาสดีต่อ ACAP