นักลงทุนต่างชาติหวนคืนตลาดหุ้นไทย ยอดซื้อสุทธิครั้งแรกในรอบ 3 สัปดาห์ ท่ามกลางตลาดหุ้นผันผวน ก่อนปิดติดลบกว่า 4 จุด บล.ทรีนีตี้ ชี้โบรกเกอร์ลงทุนพอร์ตมากขึ้น ดันวอลุ่มนักลงทุนสถาบันไทยโต เชื่อเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยส.ค.นี้ "ภควัต" หวั่นก.ย.นี้การเมืองร้อนแรงกดดันเหตุมีการพิจารณากฎหมาย ด้านบล.เคทีบี ระบุหุ้นมีโอกาสวิ่งแรง หากดัชนีผ่าน 770 จุด
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (26 มิ.ย.) ดัชนีเคลื่อนไหวในลักษณะผันผวนทั้งแดนบวกและแดนลบ โดยช่วงเช้าได้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่จึงผลักดันให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 787.48 จุด ก่อนจะการเทขายหุ้นออกมาในช่วงบ่ายกดดันให้ดัชนีปรับตัวลดลงและปิดที่จุดต่ำสุดของวันที่ 774.39 จุด ลดลง 4.03 จุด หรือลดลง 0.52% มูลค่าการซื้อขาย 17,009.17 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 138.78 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 453.82 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 592.60 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศมียอดซื้อสุทธิเป็นครั้งแรกหลังจากมียอดขายสุทธิต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 51 หรือเกือบ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
นายกัมปนาท โลหเจริญวนิช กรรมการอำนวยการบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ช่วงที่ผ่านมานักลงทุนสถาบันในประเทศได้เข้ามาซื้อหุ้นมากขึ้น คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด โดยแบ่งเป็น สัดส่วนของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ประมาณ 11-12% ที่เหลือประมาณ 8-9% เป็นเงินลงทุนของบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์)
"พอร์ตโบรกเกอร์ได้เข้ามาเทรดหุ้นเพิ่มมากขึ้น คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 3-4% ของมูลค่าตลาดรวมทั้งหมด ซึ่งบางวันวอลุ่มของนักลงทุนสถาบันในประเทศนั้น เป็นการซื้อขายของพอร์ตโบรกเกอร์เพียงอย่างเดียว เนื่องจากโบรกเกอร์ต้องการกระจายฐานรายได้ ลดการพึ่งพารายได้จากค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหลักทรัพย์ จากการที่ภาวะตลาดหุ้นไม่เอื้อทำให้นักลงทุนรายย่อยมีการชะลอการลงทุนบ้าง และจากการที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลงมามาก"
สำหรับอนาคตสัดส่วนรายได้ของโบรกเกอร์ที่เหมาะสมในช่วงที่มีการเปิดเสรีแบ่งเป็น รายได้จากค่าธรรมเนียมในการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ 35-40% รายได้จากพอร์ตการลงทุนอย่างน้อย 10% ที่เหลือเป็นรายได้จากการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม การที่นักลงทุนต่างชาติมีการขายสุทธิตลาดหุ้นไทยออกมาจำนวนมาก แต่หากนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันในประเทศมีการเข้ามาซื้อสุทธิหุ้นไทยพร้อมกัน จะช่วยผลักดันให้ดัชนีตลาดหุ้นสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นไปได้
"ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาเยอะทำให้นักลงทุนสถาบันในประเทศ ทั้งบลจ.และพอร์ตโบรกเกอร์เข้ามาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทย หากนักลงทุนในประเทศทั้งนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันมีการซื้อสุทธิพร้อมกันจะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แม้นักลงทุนต่างชาติจะมีการขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่อง" นายกัมปนาท กล่าวว่า
***เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าหุ้นไทยส.ค.
นางวชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนิตี้ กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย และเห็นสัญญาณชัดเจนว่ามีการขนเงินออกนอกประเทศ เพราะเงินบาทอ่อนค่าลงสอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหุ้นไทย แต่ในเดือนส.ค.นี้ คาดว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับมาเป็นซื้อสุทธิอีกครั้ง
"นอกจากจะเป็นเรื่องปกติที่ต่างชาติจะกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยในช่วงเดือนส.ค.นี้แล้ว ยังเชื่อว่าเมื่อเงินบาทอ่อนค่าแตะระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จะเป็นแรงผลักดันให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ เพราะเห็นโอกาสจะสร้างผลตอบแทนจากเงินบาทที่อ่อนค่าด้วย รวมถึงความกังวลเงินเฟ้อน่าจะเริ่มลดลง ดังนั้นจึงประเมินว่าในช่วงเดือนส.ค.-ก.ย.นี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสทดสอบระดับ 950 จุดได้"
ขณะเดียวกัน ฝ่ายวิจัยจะปรับลดเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในปี 2551 นี้ จาก 6% ลงมาที่ 5.2% แต่เชื่อว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน มีการเติบโตที่สูงประมาณ 31.4% โดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะเป็นกลุ่มหลักสนับสนุนให้ภาพรวมดีขึ้น เพราะคาดว่าจะมีการเติบโตสูงถึง 900% หลังจากปีที่ผ่านมาจำเป็นต้องตั้งสำรองในระดับสูงเพื่อรองรับมาตรฐานบัญชีใหม่
***หวั่นก.ย.การเมืองร้อนแรง
นายภควัต โกวิทวัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ บล.ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า ในเดือนกันยายน 51 นี้สถานการณ์ทางการเมืองน่าจะมีความร้อนแรงมากขึ้น ซึ่งจะกดดันบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากปกติแล้วในช่วงเดือนกันยายนจะมีการพิจารณากฎหมายต่างๆ ทำให้เกิดมีความขัดแย้งเกิดขึ้น
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.เคทีบี กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ผันผวนในช่วงเช้าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น 9 จุด แต่มีแรงเทขายทำกำไรออกมาในหุ้นกลุ่มพลังงาน และอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ดัชนีในช่วงปิดตลาดปรับตัวลดลงในระดับราคาต่ำสุดของวัน หลังจากปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 5 วันทำการแล้ว ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีและมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไปได้
"ดัชนีตลาดหุ้นมีความผันผวนและมีแรงขายทำกำไร ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาคที่ในช่วงเข้าปรับตัวเพิ่มขึ้นและลดลงมาในช่วงบ่าย ซึ่งจากการที่เฟดมีการประกาศคงอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดไว้นั้น มีผลดีในช่วงเข้าในเรื่องการชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และคาดว่าการประชุมครั้งหน้าของเฟดเชื่อว่าจะมีการคงดอกเบี้ยอีกครั้ง"นางสาวสุภากร กล่าวว่า
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (27 มิ.ย.) คาดว่าจะยังคงแกว่งตัวในกรอบแคบๆ ซึ่งหากดัชนีสามารถปรับตัวสูงกว่า 770 จุด ได้เชื่อดัชนีมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อได้ 890 จุด โดยเชื่อว่าจะมีแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติจะเริ่มเข้ามาซื้อสุทธิ เพื่อเก็งกำไรผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 770 จุด แนวต้านที่ระดับ 795-800 จุด
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (26 มิ.ย.) ดัชนีเคลื่อนไหวในลักษณะผันผวนทั้งแดนบวกและแดนลบ โดยช่วงเช้าได้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่จึงผลักดันให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 787.48 จุด ก่อนจะการเทขายหุ้นออกมาในช่วงบ่ายกดดันให้ดัชนีปรับตัวลดลงและปิดที่จุดต่ำสุดของวันที่ 774.39 จุด ลดลง 4.03 จุด หรือลดลง 0.52% มูลค่าการซื้อขาย 17,009.17 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 138.78 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 453.82 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 592.60 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศมียอดซื้อสุทธิเป็นครั้งแรกหลังจากมียอดขายสุทธิต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 51 หรือเกือบ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
นายกัมปนาท โลหเจริญวนิช กรรมการอำนวยการบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ช่วงที่ผ่านมานักลงทุนสถาบันในประเทศได้เข้ามาซื้อหุ้นมากขึ้น คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด โดยแบ่งเป็น สัดส่วนของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ประมาณ 11-12% ที่เหลือประมาณ 8-9% เป็นเงินลงทุนของบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์)
"พอร์ตโบรกเกอร์ได้เข้ามาเทรดหุ้นเพิ่มมากขึ้น คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 3-4% ของมูลค่าตลาดรวมทั้งหมด ซึ่งบางวันวอลุ่มของนักลงทุนสถาบันในประเทศนั้น เป็นการซื้อขายของพอร์ตโบรกเกอร์เพียงอย่างเดียว เนื่องจากโบรกเกอร์ต้องการกระจายฐานรายได้ ลดการพึ่งพารายได้จากค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหลักทรัพย์ จากการที่ภาวะตลาดหุ้นไม่เอื้อทำให้นักลงทุนรายย่อยมีการชะลอการลงทุนบ้าง และจากการที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลงมามาก"
สำหรับอนาคตสัดส่วนรายได้ของโบรกเกอร์ที่เหมาะสมในช่วงที่มีการเปิดเสรีแบ่งเป็น รายได้จากค่าธรรมเนียมในการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ 35-40% รายได้จากพอร์ตการลงทุนอย่างน้อย 10% ที่เหลือเป็นรายได้จากการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม การที่นักลงทุนต่างชาติมีการขายสุทธิตลาดหุ้นไทยออกมาจำนวนมาก แต่หากนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันในประเทศมีการเข้ามาซื้อสุทธิหุ้นไทยพร้อมกัน จะช่วยผลักดันให้ดัชนีตลาดหุ้นสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นไปได้
"ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาเยอะทำให้นักลงทุนสถาบันในประเทศ ทั้งบลจ.และพอร์ตโบรกเกอร์เข้ามาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทย หากนักลงทุนในประเทศทั้งนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันมีการซื้อสุทธิพร้อมกันจะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แม้นักลงทุนต่างชาติจะมีการขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่อง" นายกัมปนาท กล่าวว่า
***เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าหุ้นไทยส.ค.
นางวชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนิตี้ กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย และเห็นสัญญาณชัดเจนว่ามีการขนเงินออกนอกประเทศ เพราะเงินบาทอ่อนค่าลงสอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหุ้นไทย แต่ในเดือนส.ค.นี้ คาดว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับมาเป็นซื้อสุทธิอีกครั้ง
"นอกจากจะเป็นเรื่องปกติที่ต่างชาติจะกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยในช่วงเดือนส.ค.นี้แล้ว ยังเชื่อว่าเมื่อเงินบาทอ่อนค่าแตะระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จะเป็นแรงผลักดันให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ เพราะเห็นโอกาสจะสร้างผลตอบแทนจากเงินบาทที่อ่อนค่าด้วย รวมถึงความกังวลเงินเฟ้อน่าจะเริ่มลดลง ดังนั้นจึงประเมินว่าในช่วงเดือนส.ค.-ก.ย.นี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสทดสอบระดับ 950 จุดได้"
ขณะเดียวกัน ฝ่ายวิจัยจะปรับลดเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในปี 2551 นี้ จาก 6% ลงมาที่ 5.2% แต่เชื่อว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน มีการเติบโตที่สูงประมาณ 31.4% โดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะเป็นกลุ่มหลักสนับสนุนให้ภาพรวมดีขึ้น เพราะคาดว่าจะมีการเติบโตสูงถึง 900% หลังจากปีที่ผ่านมาจำเป็นต้องตั้งสำรองในระดับสูงเพื่อรองรับมาตรฐานบัญชีใหม่
***หวั่นก.ย.การเมืองร้อนแรง
นายภควัต โกวิทวัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ บล.ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า ในเดือนกันยายน 51 นี้สถานการณ์ทางการเมืองน่าจะมีความร้อนแรงมากขึ้น ซึ่งจะกดดันบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากปกติแล้วในช่วงเดือนกันยายนจะมีการพิจารณากฎหมายต่างๆ ทำให้เกิดมีความขัดแย้งเกิดขึ้น
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.เคทีบี กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ผันผวนในช่วงเช้าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น 9 จุด แต่มีแรงเทขายทำกำไรออกมาในหุ้นกลุ่มพลังงาน และอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ดัชนีในช่วงปิดตลาดปรับตัวลดลงในระดับราคาต่ำสุดของวัน หลังจากปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 5 วันทำการแล้ว ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีและมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไปได้
"ดัชนีตลาดหุ้นมีความผันผวนและมีแรงขายทำกำไร ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาคที่ในช่วงเข้าปรับตัวเพิ่มขึ้นและลดลงมาในช่วงบ่าย ซึ่งจากการที่เฟดมีการประกาศคงอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดไว้นั้น มีผลดีในช่วงเข้าในเรื่องการชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และคาดว่าการประชุมครั้งหน้าของเฟดเชื่อว่าจะมีการคงดอกเบี้ยอีกครั้ง"นางสาวสุภากร กล่าวว่า
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (27 มิ.ย.) คาดว่าจะยังคงแกว่งตัวในกรอบแคบๆ ซึ่งหากดัชนีสามารถปรับตัวสูงกว่า 770 จุด ได้เชื่อดัชนีมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อได้ 890 จุด โดยเชื่อว่าจะมีแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติจะเริ่มเข้ามาซื้อสุทธิ เพื่อเก็งกำไรผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 770 จุด แนวต้านที่ระดับ 795-800 จุด