xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นไทยฝ่าหางแดง 850จุดไม่ใช่เรื่องยาก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


จะว่าไปแล้วข่าวคราวจากแวดวงเศรษฐกิจดูจะร้อนแรงกว่าการชุมนุนของกลุ่มคนเสื้อแดงเสียอีก เพราะตั้งแต่มีการตัดสินคดีของทักษิณ ชินวัตร ตลาดหุ้นไทยขึ้นเอา ขึ้นเอา ซึ่งนักวิเคระห์หลายคนมองว่า สาเหตุที่มีเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้ามาตลาดหุ้นไทยเป็นจำนวนมากนั้นมาจาก ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจในตัวของมันเอง ที่สำคัญยังมีหุ้นดีราคาถูกอีกเป็นจำนวนมาก ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจของไทยเองก็อยู่ในทิศทางที่ดี...

ที่นี้เรามาอับเดทดัชนีตลาดหุ้นในอนาคตข้างหน้ากันดีกว่าว่าจะมีทิศทางไปทางไหน แต่ก่อนอื่นต้องขอบอกนักลงทุนทั้งหลายก่อนว่า  การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูลก่อนลงทุนทุกครั้ง

 ธนศักดิ์ วัฒนานิกร ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่าย –นักวิเคราะห์ทางเทคนิค บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด มองว่า ทางเทคนิคตลาดหุ้นไทยในระยะยาวยังเป็นแนวโน้มขาขึ้น โดยมีกรอบ 650 –920 จุด ในระยะสั้นก็ยังเป็นแนวโน้มขาขึ้นมีกรอบ 700-850 จุด โดยอิงพื้น P/E ที่ 10-13 เท่า แนวโน้มตลาดที่เป็นขาขึ้นทำให้ความเสี่ยงในขาลงมีค่อนข้างจำกัด และโดยพื้นฐานของดัชนีไทยในระยะสั้นแนวรับ 700 จุด น่าจะรับได้อยู่

โดยกรอบแนวรับในระยะยาวจะอยู่ที่ระดับ 650 จุด หากมองจากจุดนี้ไปอีกประมาณ 10% ที่ระดับดัชนี 840-850 จุด ก็มีโอกาสที่จะไปถึงได้เช่นกัน เพราะดัชนีตลาดหุ้นไทยก่อนที่จะปรับตัวลงจากวิกฤติอยู่ที่ 880 จุด ซึ่งก็น่าจะเป็นเป้าหมายที่สามารถจะไปถึงได้เช่นกัน โดยเฉพาะปัจจัยหนุนจากเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาต่อเนื่อง หากนับตั้งแต่ต่างชาติเริ่มขายในปี 2550 มียอดขายสุทธิไปแล้วกว่า 2.6 แสนล้านบาท

 โดยปี 2551 ปีเดียวขายไป 1.6 แสนล้านบาท ปัจจุบันต่างชาติเพิ่งกลับเข้ามาซื้อสุทธิได้ไม่มาก หากมองจากนี้ไปนักลงทุนต่างชาติยังสามารถซื้อสุทธิในระดับ 50,000 – 100,000 ล้านบาท ในตลาดหุ้นไทยได้อย่างสบายนั่นจะทำให้แนวโน้มของค่าเงินบาทในระยะยาวเคลื่อนไหวในกรอบ 34-28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในระยะยาวจะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้จากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยเองประกอบกับเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติที่ไหลเข้ามาด้เองประกอบกับเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติที่ไหลเข้ามาด้วย

 “หุ้นในกลุ่มแบงก์ พลังงาน และปิโตรเคมียังเป็นหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรในปี2553 และ2554 ดีต่อเนื่อง จะเป็นหุ้นที่กองทุนไอเอ็นจีทริกเกอร์10% โฟกัสเข้าไปลงทุนเช่นกัน แต่คงจะต้องเปรียบเทียบดูผลตอบแทนและความเสี่ยงควบคู่กันไป จากปัจจุบันที่หุ้นกลุ่มแบงก์ปรับตัวขึ้นมามากแล้วในขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานยังขึ้นมาไม่มากตรงนี้ก็เป็นโอกาสในการลงทุนได้การลงทุนได้เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามแม้ตลาดหุ้นไทยจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นแต่ถ้ามองย้อนไปดูรูปแบบการขึ้นของตลาดหุ้นไทยในปี2002 ก็พบว่าในปีนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะปรับตัวลงประมาณ 20% หรือประมาณ 100-150 จุด ได้เช่นกัน หลังจากที่ปรับตัวขึ้นไปต่อเนื่องแตะระดับ 800 จุด แล้ว เช่นกัน”

ส่วน วชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนิตี้ กล่าวว่า ในช่วง 2 เดือนแรกปีนี้เงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยแล้วกว่า 800 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ทั้งปีก่อนมีเงินไหลเข้ามาราว 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะจากปัจจัย กำไรบริษัทจดทะเบียนในช่วงไตรมาส 4/52 รวมทั้ง เงินปันผล และ กระแสเงินสด อยู่ในระดับที่ดี ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ราคาหุ้นยังถูก ค่าพี/อีตลาดอยู่ที่ 12.5 เท่า ต่ำกว่าประเทศอื่นที่สูงเกิน 14 เท่าไปแล้ว
    

"คาดว่าดัชนีในปีนี้จะปรับขึ้นที่ 900 จุด ในช่วงไตรมาส 4/53 โดยมีปัจจัยหนุนจากเงินทุนไหลเข้าประเทศ ซึ่งให้น้ำหนักมากถึง 40% รองลงมา คือ การเติบโตของเศรษฐกิจจีน และปัจจัยภายในประเทศ ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองของไทยยังไม่มีประเด็นให้น่ากังวล ส่วนปีหน้า คาดดัชนีจะอยู่ที่ 800-1,000 จุด ภายใต้เศรษฐกิจเติบโต 4.8%"
 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปี 53 จนถึงวันที่ 23 มี.ค.ปรับขึ้นมาแล้ว 6.53% สูงสุดเป็นอันดับสองรองจากอินโดนีเซีย และหากนับจากวันที่ 12 มี.ค.ที่เริ่มการชุมนุมทางการเมืองจนถึงงปัจจุบัน ดัชนีปรับขึ้นเป็นอันดับ 1 ขณะที่ตลาดหุ้นดาวโจนส์ปรับขึ้นเป็นอันดับ 2

 สำหรับเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศจะยังอยู่ในไทยอีกอีกนานแค่ไหนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น เศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่องหรือไม่ ปัญหาการเมือง แม้ขณะนี้ไม่ส่งผลกระทบ แต่ไม่สามารถคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเม็ดเงินทุนจากต่างชาติจะอยู่ในประเทศจนกว่าเศรษฐกิจจะไม่ดี

 ขณะที่ สมบัติ นราวุฒิชัย  เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า จากผลสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์ครั้งที่ 1/2553 ถึงแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยปี2553 ซึ่งนักวิเคราะห์ได้มีการปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยปลายปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 827 จุด เพิ่มขึ้น 15 จุด จากการสำรวจครั้งก่อนเดือนธันวาคมเฉลี่ยอยู่ที่ 812 จุด โดยประเมินว่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มาก เนื่องจากปัจจัยการเมืองภายในประเทศ เสถียรภาพรัฐบาลและปัญหาความขัดแจ้งต่างๆ และสถานการณ์เศรษฐกิจสต่างประเทศที่ยังมีความเสี่ยงอยู่รวมถึงปัญหาหนี้ในยุโรป รวมถึงค่าเงินบาทแข็งที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออก และความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในต่างประเทศและความล่าช้าในการแก้ไขปัญหามาบตาพุด

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ประเมินดัชนีสูงสุดสิ้นปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 861 จุด เพิ่มขึ้นจากการสำรวจาครั้งก่อนที่เฉลี่ย 845 จุด และคาดว่าจุดต่ำสุดอยู่ที่ 643 จุด เพิ่มขึ้น จากครั้งก่อนที่ 625 จุด และคาดดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 2554 จะอยู่ที่ 946 จุด  ขณะเดียวกัน ได้มีการปรับเพิ่มเป้าหมายการเติบโตเศรษฐกิจปี53 เพิ่มขึ้นเป็น 4% จากการสำรวจครั้งก่อนที่มองว่าจะโต3.5% และคาดว่าจีดีพีปี 2554 จะอยู่ที่ 4.5% จากที่ได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าของไทย แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
กำลังโหลดความคิดเห็น