xs
xsm
sm
md
lg

ตลาดหุ้นไทยไร้จุดดีดกลับ ต่างชาติขายต่อ-ขาดปัจจัยบวกกระตุ้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน - นักลงทุนต่างชาติทิ้งหุ้นไทยอีกกว่า 3 พันล้านบาท ฉุดดัชนีตลาดหุ้นไทยต่ำสุดในรอบ 6 เดือน ขณะที่นักลงทุนในประเทศชะลอการซื้อขายรอผลตัดสินคดีใบแดง "ยงยุทธ ติยะไพรัช" ด้าน "ภัทรียา" หวังความชัดเจนทางการเมืองจะช่วยสร้างความมั่นใจดึงนักลงทุนกลับเข้าตลาดหุ้นอีกครั้ง ส่วน "ก้องเกียรติ" ยันไม่มีผลต่อตลาดหุ้น เหตุผลการตัดสินของศาลฎีกาเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ โบรกเกอร์ ท้อใจตลาดหุ้นไทยยังหาจุดฟื้นตัวไม่เจอ เพราะไร้ปัจจัยบวกเข้ามากระตุ้น
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (9ก.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง มูลค่าการซื้อขายเบาบางได้รับแรงกดดันการเมืองในประเทศพิจารณาคดีใบแดงของนายยงยุทธ ติยะไพรัช เลขาธิการพรรคพลังประชาชน รวมถึงตลาดหุ้นต่างประเทศร่วงระนาวจากวิกฤตสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ที่อาจจะบานปลายรอบใหม่ จนส่งผลให้สถาบันการเงินสหรัฐฯ ต้องระดมทุนครั้งใหญ่
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 719.51 จุด สูงสุด 728.61 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ระดับ 722.50 จุด ลดลงจากวันก่อน 8.06 จุด หรือ 1.10% ซึ่งต่ำสุดในรอบ 6 เดือน มูลค่าการซื้อขาย 11,325.42 ล้านบาท และมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 5.70 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิออกมาจำนวนมากถึง 3,194.39 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,030.65 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 2,163.75 ล้านบาท
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า มูลค่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาลดลงต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท เนื่องจากนักลงทุนในประเทศมีการชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจนทางปัจจัยทางการเมือง โดยเฉพาะวานนี้ (8 ก.ค.) ที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งได้พิจารณาคดีใบแดงของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.สัดส่วนพรรคพลังประชาชน ซึ่งอาจจะขยายวงสู่การยุบพรรคพลังประชาชนด้วย
ขณะเดียวกัน ตลอดเดือนกรกฎาคมนี้ ยังจะมีการพิจารณาคดีทางการเมืองอีกหลายคดี หากปัจจัยทางการเมืองดังกล่าวมีความชัดเจนไม่ว่าผลจะออกมาแบบไหน จะผลดีต่อการลงทุน เพราะนักลงทุนชอบความชัดเจน ทำให้สามารถที่จะประเมินการลงทุนได้ดีกว่า
"นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิต่อเนื่อง แต่นักลงทุนในประเทศมีแรงซื้อต่อเนื่องเช่นกัน แต่ในช่วง 2-3 วันนี้ นักลงทุนในประเทศมีการชะลอการลงทุนจากปัจจัยทางการเมืองในประเทศ ที่จะมีการพิจารณาคดี ทำให้นักลงทุนบางส่วนหนึ่งชะลอการลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจน แม้ที่ผ่านมาบางเรื่องนักลงทุนได้มีการตอบรับไปบ้างแล้ว"
นางภัทรียา กล่าวต่อว่า ราคาหุ้นปรับตัวลดลงวานนี้นักลงทุนควรใช้จังหวะเข้าไปเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ราคาถูก หลังจากดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงจากต้นปีที่ 858 จุด มาอยู่ที่ระดับ 730 จุด ปรับตัวลดลงมา 128 จุด มาร์เกตแคปหายไปกว่า 3 แสนล้านบาท เหลืออยู่ที่ 5.67 ล้านล้านบาท จากต้นปีที่อยู่ 6 ล้านล้านบาท
"ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงเกิดจากหลายปัจจัย คือ เศรษฐกิจชะลอตัว จาก น้ำมัน เงินเฟ้อ ปรับตัวสูงขึ้น การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ย และปัจจัยทางการเมืองเองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนบางกลุ่มรอดูสถานการณ์"
นางภัทรียา กล่าวว่า สำหรับนักลงทุนระยะยาวในช่วงนี้ถือว่าเป็นโอกาสในการเลือกลงทุน ซึ่งจากการที่ตลาดหลักทรัพย์มีการจัดงาน ตลาดนักกองทุนรวม ในช่วงวันที่ 5-6 กรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อเป็นการส่งเสริมการออกมและทำความเข้าใจในการลงทุนผ่านกองทุน ซึ่ง ประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมงาน กว่า 4,000 คน เพื่อหาช่องทางในการลงทุนในภาวะที่ตลาดหุ้นไม่ดีปรับตัว
ทั้งนี้มีประชาชนสนใจทำรายการในการซื้อหน่วยลงทุนจำนวน 1,682 รายการ มูลค่ารวม 120 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นมูลค่าที่สูง ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯก็จะมีการจัดงานแบบนี้อีกไม่ว่าภาวะตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร ซึ่งในเดือนกันยายนก็จะมีการจัดงานอีกครั้ง ในงานไทยแลนด์โฟกัส และในเดือนพฤษจิกายนจะมีการจัดงานSET In The City เพื่อที่จะให้ความรู้และเพิ่มทางเลือกในการลงทุน

**รับรู้ใบแดง "ยงยุทธ" นานแล้ว
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวว่า การตัดสินให้ใบแดงนายยงยุทธ และ เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี จากการกระทำผิดพ.ร.บ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และจะนำไปสู่การพิจารณายุบพรรคพลังประชาชนต่อไปนั้น คงไม่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย เพราะเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้แล้ว รวมถึงหากมีการยุบพรรคพลังประชาชน ก็จะมีการจัดตั้งพรรคใหม่เหมือนกับครั้งที่ยุบพรรคไทยรักไทย
ทั้งนี้ ปัจจัยทางการเมืองนั้นถือเป็นปัจจัยระยะสั้น แต่ที่มีความกังวลในเรื่องการพัฒนาประเทศ การเติบโตเศรษฐกิจมากกว่าปัจจัยทางการเมือง เพราะ การเมืองนั้นก็จะมีการคลี่คลายไปในรยะต่อไป โดยแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยในวันนี้ (9 ก.ค.) เชื่อว่าจะยังคงปรับตัวลดลง จากที่ยังไม่มีปัจจัยบวกที่จะเข้ามากระตุ้น เพราะยังคงได้รับปัจจัยลบจากต่างประเทศเข้ามากดดันซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่มีทำให้ตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลงมากกว่าปัจจัยการเมืองในประเทศ

**ปัจจัยต่างชาติกดดันหุ้นลงต่อ
นางสาววิริยา ลาภพรมหรัตน ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เกียรตินาคิน กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (8 ก.ค.)ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จากปัจจัยทางการเมืองเป็นหลัก 2 เรื่อง คือ การพิจารณาคดีใบแดงของนายยงยุทธ ติยะไพรรัช และเรื่องการลงนามเขาพระวิหาร ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ขณะที่ตลาดหุ้นภูมิภาคก็มีการปรับตัวลดลงแรงเกือบ 4% จากความกังวลในเรื่องปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ (ซับไพรม์) ที่สถาบันการเงินอเมริกาจะต้องมีการเพิ่มทุน
"ตลาดหุ้นไทยวานนี้ลดลง 1.1% จากปัจจัยทางการเมืองเป็นหลัก แต่ถือว่าลดลงน้อยกว่าตลาดหุ้นภูมิภาคที่ปรับตัวลดลง 1-3.9% จากควมกังวลในเรื่องสินเชื่อจากที่จะมีผลกระทบทำให้สถาบันการเงินอเมริกาต้องมีการเพิ่มทุนมากขึ้น "นางสาววิริยา กล่าว
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (9 ก.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากปัจจัยต่างประเทศและปัจจัยทางการเมืองที่ยังกดดันตลาดหุ้นไทย ซึ่งนักลงทุนควรถือเงินสดเพื่อรอความความชัดเจนโดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวลดลงใกล้ระดับ 700 จุด ซึ่งประเมินแนวรับที่ระดับ 710 จุด แนวต้านที่ระดับ 730 จุด

***คาดดัชนีหุ้นลงต่ออีก10 จุด
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับลงได้อีกอย่างน้อย 5-10 จุด แต่คงไม่ปรับตัวลงแรง หลังจากที่ศาลฎีกาตัดสินให้ใบแดงนายยงยุทธ ติยะไพรัช เนื่องจากศาลตัดสินช่วงหลังหลังตลาดปิดแล้วแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังไม่ชัดเจน แต่ปัจจัยดังกล่าวยังมีความเสี่ยง นักลงทุนควรรอดูสถานการณ์ว่าจะมีการพิจารณาจะมีความชัดเจนในเรื่องการยุบพรรคก่อนทำให้มีความชัดเจนมากขึ้น
"ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าดัชนีตลาดหุ้นจะหลุด 700 จุดหรือไม่ แต่เบื้องต้นมีโอกาสปรับลงไปที่ระดับ 700-710 จุด หลังจาก 2 วันที่ผ่านมาปัจจัยการเมืองได้กดดันให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง สวนทางกับตลาดหุ้นเอเชีย ซึ่งขณะนี้ต้องรอผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 16 ก.ค.นี้ จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ ส่วนนักลงทุนต่างชาติที่ขายอย่างต่อเนื่องเพื่อไปลงทุนในตลาดตราสารหนี้ ซึ่งต้องใช้เวลาสักระยะหากปัจจัยต่างประเทศไม่เลวร้ายไปกว่านี้คงจะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้ง"

***ตลาดหุ้นยังไม่เจอจุดฟื้นตัว
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บล. กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ KEST กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากทั้งปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ คือ การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ วิกฤตซับไพรม์ อัตราเงินเฟ้อ รวมถึงสถานการณ์การเมือง และยังไม่สามารถประเมินได้ว่าตลาดหุ้นจะฟื้นตัวเมื่อใด เพราะยังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุนตลาดหุ้นให้ฟื้นตัวได้
"ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าจะปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เพราะยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาช่วยฟื้นฟูตลาดหุ้น แต่ถ้าจะปรับตัวขึ้นก็จะเป็นลักษณะการรีบาวน์ระยะสั้นเท่านั้น โดยบริษัทแนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์จากเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 2/51 ที่จะออกมาดี และที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มดังกล่าวปรับลดลงมากแล้ว หากมีการปรับตัวลดลงก็คงไม่มาก ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานให้ชะลอการลงทุน รอความชัดเจนให้ราคาน้ำมันทรงตัวก่อน"
กำลังโหลดความคิดเห็น