ผู้บริหารบลจ.ประเมินเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังยังทรงตัว แม้ปัญหาราคาน้ำมัน เงินเฟ้อ และการเมือง โหมรุมเร้าตั้งแต่ช่วงต้นปี เหตุตัวเลขการส่งออกด้านอาหารช่วยรองรับ พร้อมมั่นใจกนง.มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแน่ ส่วนตลาดหุ้นรอวันฟ้าเปิด หรือภาพรวมตลาดในภูมิภาคปรับตัวดีขึ้น คาดทั้งปีดัชนีอยู่ที่ 900 - 950 จุด
นาย วิชชุ จันทาทับ ผู้อำนวยการ ฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด ได้กล่าวถึง แน้วโน้มเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงครึ่งปีหลังว่า ส่วนตัวมีความเป็นห่วงในเรื่องของราคานํ้ามันกับภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยหลักที่เศรษฐกิจของไทยกำลังประสบอยู่ขณะนี้ เพราะราคานํ้ามันที่สูง รวมทั้งปัญหาเงินเฟ้อนั้น ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่จะลดกำลังการใช้จ่ายของประชาชน รวมทั้งการลงทุนของนักลงทุนด้วย
ขณะเดียวกัน ในส่วนของตลาดหุ้นไทยก็ได้รับผลกระทบไปในทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจของประเทศที่ชะตัวลง แต่เศรษฐกิจของไทยยังได้รับผลดีจากการส่งออกสินค้าประเภทอาหาร ทำให้เศรษฐกิจของไทยไม่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเหมือนกับประเทศอื่นๆ ดังนั้นเศรษฐกิจของไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังคงในระดับทรงตัว
ส่วนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อนั้น ส่วยตัวมองว่าเป็นแก้ปัญหาที่ได้ผลในช่วงสั้นเท่านั้น แต่ถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจริง การขึ้นดอกเบี้ยจะส่งผลกระทบไปถึงบรรดาธนาคารต่างๆในเรื่องของการปล่อยเงินกู้ เพราะเป็นการทำให้ลูกหนี้ต้องแบกรับภาระเงินกู้ที่มีดอกเบี้ยสูง
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด (เอวายเอฟ) มองว่า ตลาดหุ้นได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบต่าง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ เงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน หรือแม้กระทั้งการเมือง ที่สำคัญความผันผวนของตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียด้วยเช่นกัน จึงเปรียบเหมือนในช่วงฝนตกท้องฟ้าปิด แต่เมื่อผ่านไปอีกสักระยะหนึ่งเมื่อฝนผ่านพ้นไป ท้องฟ้าเปิด จะกลับมาสดใสอีกครั้ง เหมือนกับตลาดหุ้นที่ขณะนี้หุ้นได้ปรับตัวลดลง แต่อีกสักพักก็จะดีขึ้นมาเพราะหุ้นนั้นมีขึ้นมีลง อย่างช่วงที่ผ่านมาหุ้นหายไป 100 จุดภายใน 3 สัปดาห์ โดยปีนี้คิดว่าตลาดหุ้นภายในประเทศอาจจะถึง 900-950 จุด
"การเติบโตของเศรษฐกิจน่าจะอยู่ที่ 3-4% จากการประเมินของหลายฝ่ายมองว่าไตรมาส 2 จะโตต่ำกว่า 6 % โดยที่ไตรมาส 1 โตอยู่ที่ 6% เเต่เมื่อจบไตรมาส 2 เศรษฐกิจมีการเติบโตอยู่ที่ 6 % เพราะการที่สินค้าโภคภัณฑ์มีราคาสูงขึ้น ทำให้เกษตรกรไทยมีรายได้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ภาคชนบทมีการใช้จ่ายมากขึ้น แต่ภาครัฐบาลเองต้องหามาตรการหรือวิธีการส่งเสริมให้เกิดการกระตุ้นการใช้จ่ายมากขึ้น"
สำหรับ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ที่ประชุมกันทุกๆ 2 เดือน ประเมินว่าจะทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยเฉลี่ยรวมครึ่งปีหลังอยู่ที่ 0.5-1% ขณะที่ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นเรื่อยนี้จะไม่เป็นปัญหาที่สำคัญอย่างที่ใครหลายคนมอง เนื่องจากตอนนี้ประชาชนเริ่มหันมาใช้พลังงานอื่นทดเเทน รวมทั้งลดการใช้พลังงานมากขึ้น
ด้านรศ.ดร. วรากรณ์ สามโกเศศ กล่าวถึงเเนวโน้มเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังว่า ประเทศไทยยังคงต้องเจอกับปัญหาทั้งเรื่องอัตราเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน เเละปัญหาเรื่องการเมืองที่ยังรุมเร้าให้เศรษฐกิจไทยยังชะลอตัว โดยประเทศไทยถือเอาเรื่องเง้นเฟ้อเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งตามจริงแล้ว เงินเฟ้อเป็นการทำร้ายคนทุกระดับไม่ว่าจะรวยหรือจน เเต่คนที่โดนทำร้ายมากกว่าคือคนจน เพราะเงินเฟ้อครั้งนี้จะเป็นเงินเฟ้ออันเกิดจากต้นทุนราคาน้ำมัน เเละราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลาย ซึ่งการจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ กนง. ถือเป็นการเเก้ปัญหาที่ค่อนข้างล่าช้า เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยไปบ้างเเล้ว
สำหรับมาตรการทางภาษีของรัฐบาลนี้ถือว่ามาถูกทางตามหลักเศรษฐศาตร์ โดยวิธีการนี้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจทีดีที่สุดในขณะนี้ ซึ่งเริ่มจะส่งผลให้เกิดการลงทุน การใช้จ่าย เเต่ยังมีต้องจับตาดูเรื่องของการเเจกคูปองคนจน หรือการปล่อยกู้เงิน SME เนื่องจากในหลักการณ์ถือว่าเป็นการช่วยเหลือคนจนได้ดีทีเดียว เเต่สิ่งที่ต้องตามดูก็คือ หลักการณ์ดูดี เเต่วิธีการปฏิบัติยังเป็นปัญหาอยู่นั่นเอง อย่างไรก็ตามคงต้องเฝ้าติดตามดูการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะราคาน้ำมัน เเละการเมืองของไทย ว่าจะมีทางออกเป็นเช่นไร
สอดคล้องกับ นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่ระบุว่า สัญญาณเศรษฐกิจของไทยในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นผลมาจากความไม่ชัดเจนทางการเมืองรวมถึงในเรื่องของราคานํ้ามัน และส่งผลไปถึงการบริโภคภายในประเทศที่ลดลง
ขณะเดียวกันธนาคารกลางแห่งประเทศไทยอาจมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ รวมไปถึงในส่วนของธนาครกลางในประเทศสหรัฐฯและยุโรปด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ความตรึงเครียดระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกากับประเทศสอิหร่าน เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าราคานํ้ามันอาจสูงขึ้นอีก
ส่วนทิศทางของตลาดหุ้นในประเทศไทยนั้น นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่ตลาดหุ้นได้รับจากเรื่องของราคานํ้ามันที่สูงขึ้น ซึ่งทิศทางของตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังนี้คงอยู่ในภาวะทรงตัว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเดือนมิถุนายน หรือครึ่งปีเเรกของปี 2551 ไปเเล้วสถานการณ์เศรษฐกิจโลกไม่ค่อยจะสู้ดีหนัก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา หรือจีนเอง แล้วได้รับผลกระทบจากปัญหาต่างๆ โดยหลายฝ่ายมองว่าการที่ทั่วโลกต้องประสบปัญหานี้มาจาก จากราคาน้ำมันที่ทำสถิติสูงที่สุดนั่นเอง ที่สำคัญยังไม่นับรวมอัตราเงินเฟ้อที่หลายประเทศกำลังเผชิญอยู่ โดยประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น เช่น เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ล้วนขึ้นอัตราดอกเบี้ยรับมือกับปัญหาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม คงต้องตามดูว่าการประชุมกนง.ครั้งนี้ จะมีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ เนื่องจากหลายฝ่ายมองว่า รัฐบาลอยากให้กนง.ชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปก่อน เพราะรัฐบาลกลัวว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้ตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจไม่โตตามที่รัฐบาลวางเเผนไว้
นาย วิชชุ จันทาทับ ผู้อำนวยการ ฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด ได้กล่าวถึง แน้วโน้มเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงครึ่งปีหลังว่า ส่วนตัวมีความเป็นห่วงในเรื่องของราคานํ้ามันกับภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยหลักที่เศรษฐกิจของไทยกำลังประสบอยู่ขณะนี้ เพราะราคานํ้ามันที่สูง รวมทั้งปัญหาเงินเฟ้อนั้น ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่จะลดกำลังการใช้จ่ายของประชาชน รวมทั้งการลงทุนของนักลงทุนด้วย
ขณะเดียวกัน ในส่วนของตลาดหุ้นไทยก็ได้รับผลกระทบไปในทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจของประเทศที่ชะตัวลง แต่เศรษฐกิจของไทยยังได้รับผลดีจากการส่งออกสินค้าประเภทอาหาร ทำให้เศรษฐกิจของไทยไม่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเหมือนกับประเทศอื่นๆ ดังนั้นเศรษฐกิจของไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังคงในระดับทรงตัว
ส่วนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อนั้น ส่วยตัวมองว่าเป็นแก้ปัญหาที่ได้ผลในช่วงสั้นเท่านั้น แต่ถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจริง การขึ้นดอกเบี้ยจะส่งผลกระทบไปถึงบรรดาธนาคารต่างๆในเรื่องของการปล่อยเงินกู้ เพราะเป็นการทำให้ลูกหนี้ต้องแบกรับภาระเงินกู้ที่มีดอกเบี้ยสูง
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด (เอวายเอฟ) มองว่า ตลาดหุ้นได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบต่าง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ เงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน หรือแม้กระทั้งการเมือง ที่สำคัญความผันผวนของตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียด้วยเช่นกัน จึงเปรียบเหมือนในช่วงฝนตกท้องฟ้าปิด แต่เมื่อผ่านไปอีกสักระยะหนึ่งเมื่อฝนผ่านพ้นไป ท้องฟ้าเปิด จะกลับมาสดใสอีกครั้ง เหมือนกับตลาดหุ้นที่ขณะนี้หุ้นได้ปรับตัวลดลง แต่อีกสักพักก็จะดีขึ้นมาเพราะหุ้นนั้นมีขึ้นมีลง อย่างช่วงที่ผ่านมาหุ้นหายไป 100 จุดภายใน 3 สัปดาห์ โดยปีนี้คิดว่าตลาดหุ้นภายในประเทศอาจจะถึง 900-950 จุด
"การเติบโตของเศรษฐกิจน่าจะอยู่ที่ 3-4% จากการประเมินของหลายฝ่ายมองว่าไตรมาส 2 จะโตต่ำกว่า 6 % โดยที่ไตรมาส 1 โตอยู่ที่ 6% เเต่เมื่อจบไตรมาส 2 เศรษฐกิจมีการเติบโตอยู่ที่ 6 % เพราะการที่สินค้าโภคภัณฑ์มีราคาสูงขึ้น ทำให้เกษตรกรไทยมีรายได้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ภาคชนบทมีการใช้จ่ายมากขึ้น แต่ภาครัฐบาลเองต้องหามาตรการหรือวิธีการส่งเสริมให้เกิดการกระตุ้นการใช้จ่ายมากขึ้น"
สำหรับ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ที่ประชุมกันทุกๆ 2 เดือน ประเมินว่าจะทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยเฉลี่ยรวมครึ่งปีหลังอยู่ที่ 0.5-1% ขณะที่ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นเรื่อยนี้จะไม่เป็นปัญหาที่สำคัญอย่างที่ใครหลายคนมอง เนื่องจากตอนนี้ประชาชนเริ่มหันมาใช้พลังงานอื่นทดเเทน รวมทั้งลดการใช้พลังงานมากขึ้น
ด้านรศ.ดร. วรากรณ์ สามโกเศศ กล่าวถึงเเนวโน้มเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังว่า ประเทศไทยยังคงต้องเจอกับปัญหาทั้งเรื่องอัตราเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน เเละปัญหาเรื่องการเมืองที่ยังรุมเร้าให้เศรษฐกิจไทยยังชะลอตัว โดยประเทศไทยถือเอาเรื่องเง้นเฟ้อเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งตามจริงแล้ว เงินเฟ้อเป็นการทำร้ายคนทุกระดับไม่ว่าจะรวยหรือจน เเต่คนที่โดนทำร้ายมากกว่าคือคนจน เพราะเงินเฟ้อครั้งนี้จะเป็นเงินเฟ้ออันเกิดจากต้นทุนราคาน้ำมัน เเละราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลาย ซึ่งการจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ กนง. ถือเป็นการเเก้ปัญหาที่ค่อนข้างล่าช้า เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยไปบ้างเเล้ว
สำหรับมาตรการทางภาษีของรัฐบาลนี้ถือว่ามาถูกทางตามหลักเศรษฐศาตร์ โดยวิธีการนี้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจทีดีที่สุดในขณะนี้ ซึ่งเริ่มจะส่งผลให้เกิดการลงทุน การใช้จ่าย เเต่ยังมีต้องจับตาดูเรื่องของการเเจกคูปองคนจน หรือการปล่อยกู้เงิน SME เนื่องจากในหลักการณ์ถือว่าเป็นการช่วยเหลือคนจนได้ดีทีเดียว เเต่สิ่งที่ต้องตามดูก็คือ หลักการณ์ดูดี เเต่วิธีการปฏิบัติยังเป็นปัญหาอยู่นั่นเอง อย่างไรก็ตามคงต้องเฝ้าติดตามดูการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะราคาน้ำมัน เเละการเมืองของไทย ว่าจะมีทางออกเป็นเช่นไร
สอดคล้องกับ นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่ระบุว่า สัญญาณเศรษฐกิจของไทยในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นผลมาจากความไม่ชัดเจนทางการเมืองรวมถึงในเรื่องของราคานํ้ามัน และส่งผลไปถึงการบริโภคภายในประเทศที่ลดลง
ขณะเดียวกันธนาคารกลางแห่งประเทศไทยอาจมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ รวมไปถึงในส่วนของธนาครกลางในประเทศสหรัฐฯและยุโรปด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ความตรึงเครียดระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกากับประเทศสอิหร่าน เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าราคานํ้ามันอาจสูงขึ้นอีก
ส่วนทิศทางของตลาดหุ้นในประเทศไทยนั้น นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่ตลาดหุ้นได้รับจากเรื่องของราคานํ้ามันที่สูงขึ้น ซึ่งทิศทางของตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังนี้คงอยู่ในภาวะทรงตัว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเดือนมิถุนายน หรือครึ่งปีเเรกของปี 2551 ไปเเล้วสถานการณ์เศรษฐกิจโลกไม่ค่อยจะสู้ดีหนัก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา หรือจีนเอง แล้วได้รับผลกระทบจากปัญหาต่างๆ โดยหลายฝ่ายมองว่าการที่ทั่วโลกต้องประสบปัญหานี้มาจาก จากราคาน้ำมันที่ทำสถิติสูงที่สุดนั่นเอง ที่สำคัญยังไม่นับรวมอัตราเงินเฟ้อที่หลายประเทศกำลังเผชิญอยู่ โดยประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น เช่น เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ล้วนขึ้นอัตราดอกเบี้ยรับมือกับปัญหาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม คงต้องตามดูว่าการประชุมกนง.ครั้งนี้ จะมีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ เนื่องจากหลายฝ่ายมองว่า รัฐบาลอยากให้กนง.ชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปก่อน เพราะรัฐบาลกลัวว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้ตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจไม่โตตามที่รัฐบาลวางเเผนไว้