ผู้จัดการรายวัน - นักลงทุนชะลอการลงทุนรอลุ้นตัวเลขเศรษฐกิจและปริมาณสำรองน้ำมันดิบของสหรัฐฯ กดดันวอลุ่มต่ำสุดในรอบ 2 เดือน โดยนักลงทุนต่างชาติยังทิ้งหุ้นต่ออีก 1.1 พันล้านบาท ขณะที่เกณฑ์หุ้นเทิร์นโอเวอร์ลีส ที่จะเริ่มใช้ต้นเดือนหน้าเป็นปัจจัยลบอันใหม่ที่หลอนนักลงทุน ด้าน "ไทยยูนีคคอยล์" โดยพักการซื้อขายอัตโนมัติ หลังมีแรงขายหุ้นออกมาเกินเกณฑ์ที่กำหนดไว้ จนทำให้ราคาหุ้นดิ่งติดฟลอร์ 2 วันติด
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (11 มิ.ย.) ดัชนีผันผวนตลอดวันทั้งแดนบวก-ลบ ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง เนื่องจากนักลงทุนยังตั้งท่ารอดูความชัดเจนการประกาศสต็อกน้ำมันของสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลต่อทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และส่งผลต่อเนื่องทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นด้วย
โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ 795.54 ล้านบาท ต่ำสุดที่ 786.89 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 791.66 จุด ลดลงจากวันก่อน 0.28 จุด หรือลดลง 0.04% มูลค่าการซื้อขาย 13,234.16 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าการซื้อขายที่ต่ำสุดในรอบ 2 เดือน ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 1,111.18 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 303.98 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 807.20 ล้านบาท
นางสาววิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้แกว่งตัวในกรอบแคบๆ ทิศทางปรับตัวลดลงแต่ไม่มากเป็นลักษณะการพักฐาน ทั้งนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงติดต่อเป็นสัปดาห์ที่ 3 จากปัจจัยลบเดิมๆ ที่ยังคงกดดันทั้งเรื่องของอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากราคาน้ำมันสูง ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมีการชะลอตัว
สำหรับการที่ตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นภูมิภาคมีการเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ เนื่องจากนักลงทุนรอข้อมูลเกี่ยวกับการประกาศตัวเลขน้ำมันสำรอง (สต็อกน้ำมัน) ที่จะมีผลต่อราคาน้ำมัน ซึ่งจากการคาดการณ์ของรอยเตอร์คาดว่าสต็อกน้ำมันจะลดลงประมาณ 1.1 ล้านบาร์เรล ดังนั้นหากสต็อกน้ำมันออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้จะส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไป
ในทางตรงกันข้าม หากสต็อกน้ำมันผลออกมาดีกว่าที่คาดไว้ จะทำให้ราคาน้ำมันทรงตัวหรืออาจปรับตัวลดลงได้ ซึ่งจะต้องติดตามปริมาณสำรองน้ำมันและการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
"อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ จะมีผลกระทบต่อการลงทุน การเติบโตเศรษฐกิจ ทำให้มูลค่าการซื้อขายหุ้นไทยวันนี้เบาบาง รวมถึงมาตรการการกำกับดูแลหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายหมุนเวียนสูง (เทิร์นโอเวอร์ลิสต์) ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะนำมาใช้ต้นเดือนก.ค.นี้ ทำให้หุ้นที่มีลักษณะการเก็งกำไรปรับตัวลดลง บวกกับมีการบังคับขายหุ้นออกมา (ฟอร์ซเซลล์) ด้วย"
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยผู้จัดการ บล.เคทีบี กล่าวว่ าดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้มีความผันผวนสลับแดนบวกและลบ โดยเมื่อดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นได้มีการขายทำกำไรออกมาบ้าง ซึ่งช่วงปิดตลาดดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงไม่มากนัก แสดงให้เห็นว่าดัชนีเริ่มที่จะทรงตัวได้ ซึ่งจากการที่มูลค่าการซื้อขายที่ปรับตัวลดลงเนื่องจาก นักลงทุนชะลอการลงทุนอยู่นอกตลาด จากไม่มีปัจจัยบวกที่เข้ามากระตุ้นการลงทุน
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยังคงได้รับปัจจัยลบเดิม คือ อัตราเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกมีการชะลอตัว ปัจจัยการเมืองภายในประเทศ แต่เชื่อว่าแรงขายที่เกิดจากการฟอร์ซเซลล์ มีไม่มากนักในวานนี้ ซึ่งหุ้นบางบริษัทก็ยังคงปรับตัวลดลงต่ำติดฟลอร์
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าจะแกว่งตัวลดลงได้ต่อ ซึ่งขณะนี้บริษัทแนะนำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนก่อน เพื่อรอดูความชัดเจนเรื่องทิศทางเศรษฐกิจ ราคาน้ำมัน เงินเฟ้อ ทำให้คาดเดาทิศทางตลาดหุ้นได้ยาก โดยคาดว่าแนวรับอยู่ที่ระดับ 766-787 จุด แนวต้านที่ระดับ 812 จุด ซึ่งหากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ระดับ 812 จุดนักลงทุนควรที่จะขายทำกำไรออกมาก่อน
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (11 มิ.ย.) ดัชนีผันผวนตลอดวันทั้งแดนบวก-ลบ ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง เนื่องจากนักลงทุนยังตั้งท่ารอดูความชัดเจนการประกาศสต็อกน้ำมันของสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลต่อทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และส่งผลต่อเนื่องทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นด้วย
โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ 795.54 ล้านบาท ต่ำสุดที่ 786.89 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 791.66 จุด ลดลงจากวันก่อน 0.28 จุด หรือลดลง 0.04% มูลค่าการซื้อขาย 13,234.16 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าการซื้อขายที่ต่ำสุดในรอบ 2 เดือน ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 1,111.18 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 303.98 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 807.20 ล้านบาท
นางสาววิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้แกว่งตัวในกรอบแคบๆ ทิศทางปรับตัวลดลงแต่ไม่มากเป็นลักษณะการพักฐาน ทั้งนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงติดต่อเป็นสัปดาห์ที่ 3 จากปัจจัยลบเดิมๆ ที่ยังคงกดดันทั้งเรื่องของอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากราคาน้ำมันสูง ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมีการชะลอตัว
สำหรับการที่ตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นภูมิภาคมีการเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ เนื่องจากนักลงทุนรอข้อมูลเกี่ยวกับการประกาศตัวเลขน้ำมันสำรอง (สต็อกน้ำมัน) ที่จะมีผลต่อราคาน้ำมัน ซึ่งจากการคาดการณ์ของรอยเตอร์คาดว่าสต็อกน้ำมันจะลดลงประมาณ 1.1 ล้านบาร์เรล ดังนั้นหากสต็อกน้ำมันออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้จะส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไป
ในทางตรงกันข้าม หากสต็อกน้ำมันผลออกมาดีกว่าที่คาดไว้ จะทำให้ราคาน้ำมันทรงตัวหรืออาจปรับตัวลดลงได้ ซึ่งจะต้องติดตามปริมาณสำรองน้ำมันและการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
"อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ จะมีผลกระทบต่อการลงทุน การเติบโตเศรษฐกิจ ทำให้มูลค่าการซื้อขายหุ้นไทยวันนี้เบาบาง รวมถึงมาตรการการกำกับดูแลหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายหมุนเวียนสูง (เทิร์นโอเวอร์ลิสต์) ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะนำมาใช้ต้นเดือนก.ค.นี้ ทำให้หุ้นที่มีลักษณะการเก็งกำไรปรับตัวลดลง บวกกับมีการบังคับขายหุ้นออกมา (ฟอร์ซเซลล์) ด้วย"
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยผู้จัดการ บล.เคทีบี กล่าวว่ าดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้มีความผันผวนสลับแดนบวกและลบ โดยเมื่อดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นได้มีการขายทำกำไรออกมาบ้าง ซึ่งช่วงปิดตลาดดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงไม่มากนัก แสดงให้เห็นว่าดัชนีเริ่มที่จะทรงตัวได้ ซึ่งจากการที่มูลค่าการซื้อขายที่ปรับตัวลดลงเนื่องจาก นักลงทุนชะลอการลงทุนอยู่นอกตลาด จากไม่มีปัจจัยบวกที่เข้ามากระตุ้นการลงทุน
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยังคงได้รับปัจจัยลบเดิม คือ อัตราเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกมีการชะลอตัว ปัจจัยการเมืองภายในประเทศ แต่เชื่อว่าแรงขายที่เกิดจากการฟอร์ซเซลล์ มีไม่มากนักในวานนี้ ซึ่งหุ้นบางบริษัทก็ยังคงปรับตัวลดลงต่ำติดฟลอร์
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าจะแกว่งตัวลดลงได้ต่อ ซึ่งขณะนี้บริษัทแนะนำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนก่อน เพื่อรอดูความชัดเจนเรื่องทิศทางเศรษฐกิจ ราคาน้ำมัน เงินเฟ้อ ทำให้คาดเดาทิศทางตลาดหุ้นได้ยาก โดยคาดว่าแนวรับอยู่ที่ระดับ 766-787 จุด แนวต้านที่ระดับ 812 จุด ซึ่งหากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ระดับ 812 จุดนักลงทุนควรที่จะขายทำกำไรออกมาก่อน