บล.ทิสโก้ เล็งรุกธุรกิจปรึกษาการลงทุน-แนะนำลงทุนกองทุนต่างประเทศ ปีหน้า หวังกระจายรายได้รองรับเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น พร้อมปรับโฉมทีมวิจัยใหม่ตั้งเป้าเป็นพรีเมียมโบรกเกอร์ "ไพบูลย์" ปรับกลยุทธ์หนุนลูกค้ารายกลางลงทุนหุ้นตามมาร์เกตไทม์มิ่ง ดันมาร์เกตแชร์ครึ่งปีหลังโต 3.5%จากต้นปีหดเหลือ 2-2.5% เหตุหุ้นเก็งกำไรพาเรดขึ้นยกแผง
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ในปีหน้าบริษัทมีแผนที่จะมีการให้บริการที่ปรึกษาการลงทุน (Private Wealth Management) เพื่อแนะนำการลงทุนให้กับลูกค้าครอบคลุมทุกสินค้า เช่น ตราสารหนี้ อนุพันธ์ หุ้น กองทุน ฯลฯ เพื่อตรงกับความต้องการของนักลงทุนและให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้น ซึ่งลูกค้าจะต้องมีการเปิดบัญชีขั้นต่ำ 1 ล้านบาท
รวมถึงจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อนุมัติให้นักลงทุนไทยสามารถไปลงทุนต่างประเทศได้บริษัทมีแผนที่จะออกบทวิเคราะห์การแนะนำการลงทุนในกองทุนต่างประเทศแก่ลูกค้า เพราะนักลงทุนไทยไม่สามารถวิเคราะห์เนื่องจากไม่มีข้อมูล โดยบริษัทจะมีหน่วยงานที่จะมาทำหน้าที่ในการให้คำแนะนำ เพื่อเพิ่มรายได้และรองรับกับการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชั่น)
ทั้งนี้ จากการดำเนินการดังกล่าวบริษัทจึงปรับโครงสร้างฝ่ายงานวิจัย โดยจัดตั้งสายงานใหม่ คือ "สำนักวิจัย" เพื่อกำหนดนโยบายคาดการณ์แนวโน้ม และกลยุทธ์ของการจัดทำงานวิจัยทั้งหมดของบริษัท โดยนายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุลรับตำแหน่งกรรมการบริหารและหัวหน้าสายงานวิจัย ซึ่งย้ายมาจากบล.ทรีนิตี้ ส่วนฝ่ายงานวิจัยเดิมได้แยกออกมาเป็นฝ่ายวิจัยตลาดทุน โดยจะทำบทวิเคราะห์เชิงลึกของบริษัทจดทะเบียนอุตสาหกรรมต่างๆ และกลยุทธ์การลงทุนในตราสารทุน
"บริษัทวางเป้าหมายที่จะเป็นพรีเมียมโบรกเกอร์ คือเน้นที่การให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนให้กับลูกค้า ผ่านการฝึกอบรมต่างๆอย่างสม่ำเสมอไม่ใช่แค่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเป็นนายหน้าซื้อขายหุ้น แต่ต้องการตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด" นายไพบูลย์
นายไพบูลย์ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์)ปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 3% ซึ่งอยู่ระดับเดียวกับปีที่ผ่าน การที่มาร์เกตแชร์ของบริษัททรงตัวเนื่องจาก ในช่วงไตรมาส1/51ที่หุ้นเก็งกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น มาร์เกตแชร์ของบริษัทปรับตัวลดลงอยู่ที่ 2-2.50% เพราะลูกค้าของบริษัทเป็นลูกค้าระยะยาวไม่ได้เข้าไปเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มดังกล่าว
ทั้งนี้ บริษัทชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังมาร์เกตแชร์ของบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 3.5% ได้ อันเป็นผลจากการเน้นในเรื่องแนะนำการลงทุนให้ตรงกับจังหวะการลงทุนในช่วงนั้น(มาร์เกตไทม์มิ่ง) ในหุ้นกลุ่มที่มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่ดี ทำให้ลูกค้าขนาดกลางของบริษัทเข้ามาลงทุนในหุ้นมากขึ้น เพราะปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าที่ซื้อขายหุ้นสม่ำเสมอ 3,000- 4,000 บัญชี จากที่เปิดบัญชีกับบริษัท 15,000 บัญชี โดยบริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนลูกค้ารายย่อยเป็น 50% จากปัจจุบันที่มี 40%
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ในปีหน้าบริษัทมีแผนที่จะมีการให้บริการที่ปรึกษาการลงทุน (Private Wealth Management) เพื่อแนะนำการลงทุนให้กับลูกค้าครอบคลุมทุกสินค้า เช่น ตราสารหนี้ อนุพันธ์ หุ้น กองทุน ฯลฯ เพื่อตรงกับความต้องการของนักลงทุนและให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้น ซึ่งลูกค้าจะต้องมีการเปิดบัญชีขั้นต่ำ 1 ล้านบาท
รวมถึงจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อนุมัติให้นักลงทุนไทยสามารถไปลงทุนต่างประเทศได้บริษัทมีแผนที่จะออกบทวิเคราะห์การแนะนำการลงทุนในกองทุนต่างประเทศแก่ลูกค้า เพราะนักลงทุนไทยไม่สามารถวิเคราะห์เนื่องจากไม่มีข้อมูล โดยบริษัทจะมีหน่วยงานที่จะมาทำหน้าที่ในการให้คำแนะนำ เพื่อเพิ่มรายได้และรองรับกับการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชั่น)
ทั้งนี้ จากการดำเนินการดังกล่าวบริษัทจึงปรับโครงสร้างฝ่ายงานวิจัย โดยจัดตั้งสายงานใหม่ คือ "สำนักวิจัย" เพื่อกำหนดนโยบายคาดการณ์แนวโน้ม และกลยุทธ์ของการจัดทำงานวิจัยทั้งหมดของบริษัท โดยนายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุลรับตำแหน่งกรรมการบริหารและหัวหน้าสายงานวิจัย ซึ่งย้ายมาจากบล.ทรีนิตี้ ส่วนฝ่ายงานวิจัยเดิมได้แยกออกมาเป็นฝ่ายวิจัยตลาดทุน โดยจะทำบทวิเคราะห์เชิงลึกของบริษัทจดทะเบียนอุตสาหกรรมต่างๆ และกลยุทธ์การลงทุนในตราสารทุน
"บริษัทวางเป้าหมายที่จะเป็นพรีเมียมโบรกเกอร์ คือเน้นที่การให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนให้กับลูกค้า ผ่านการฝึกอบรมต่างๆอย่างสม่ำเสมอไม่ใช่แค่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเป็นนายหน้าซื้อขายหุ้น แต่ต้องการตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด" นายไพบูลย์
นายไพบูลย์ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์)ปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 3% ซึ่งอยู่ระดับเดียวกับปีที่ผ่าน การที่มาร์เกตแชร์ของบริษัททรงตัวเนื่องจาก ในช่วงไตรมาส1/51ที่หุ้นเก็งกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น มาร์เกตแชร์ของบริษัทปรับตัวลดลงอยู่ที่ 2-2.50% เพราะลูกค้าของบริษัทเป็นลูกค้าระยะยาวไม่ได้เข้าไปเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มดังกล่าว
ทั้งนี้ บริษัทชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังมาร์เกตแชร์ของบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 3.5% ได้ อันเป็นผลจากการเน้นในเรื่องแนะนำการลงทุนให้ตรงกับจังหวะการลงทุนในช่วงนั้น(มาร์เกตไทม์มิ่ง) ในหุ้นกลุ่มที่มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่ดี ทำให้ลูกค้าขนาดกลางของบริษัทเข้ามาลงทุนในหุ้นมากขึ้น เพราะปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าที่ซื้อขายหุ้นสม่ำเสมอ 3,000- 4,000 บัญชี จากที่เปิดบัญชีกับบริษัท 15,000 บัญชี โดยบริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนลูกค้ารายย่อยเป็น 50% จากปัจจุบันที่มี 40%