ตลาดหุ้นไทยดีดบวก 24 จุด ตามทิศทางหุ้นทั่วโลก ขานรับเฟดหั่นดอกเบี้ย 0.50% กู้วิกฤตศก. พร้อมเป็นสัญญาณให้ธนาคารกลางทั่วโลกปรับลดดอกเบี้ย โดยธนาคารกลางจีน ฮ่องกง และไต้หวัน นำร่องหั่นดบ. 0.25- 0.50% ตามไปแล้ว ส่งผลให้ตลาดหุ้นเขียวทั่วเอเชีย ขณะที่ญี่ปุ่นเตรียมหั่นดบ.วันนี้ เผยต่างชาติกลับลำซื้อสุทธิ 1.3 พันล้านบาท เป็นครั้งแรก
ภาวะการลงทุนตลาดหุ้นไทย วานนี้(30 ต.ค.) ดัชนีหุ้นไทยสามารถดีดตัวทะลุ 400 จุด ได้สำเร็จ โดยยืนในแดนบวกได้ตลอดทั้งวัน ขานรับกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก ดัชนีปิดที่ระดับ 408.31 จุด เพิ่มขึ้น 24 จุด มูลค่าการซื้อขาย 14,832.07 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,386.45 ล้านบาท
น.ส.สุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี จำกัด กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นแรง เนื่องจากนักลงทุนตอบรับข่าวที่ธนาคารกลางทั่วโลกร่วมมือกันปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อสกัดกั้นเศรษฐกิจไม่ให้เข้าสู่ภาวะถดถอยลงกว่านี้ และยับยั้งวิกฤตการณ์ด้านการเงินไม่ให้ลุกลามออกไป
อีกทั้ง การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลง 0.50% เป็นสัญญาณว่าธนาคารกลางทั่วโลก มีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงหลังจากนี้
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในช่วงบ่ายคาดว่าดัชนีน่าจะยังเคลื่อนไหวในแดนบวกได้ เพราะเชื่อว่าแรงเก็งกำไรจากข่าวที่ธนาคารกลางทั่วโลกร่วมมือกันปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อพยุงเศรษฐกิจจะผลักดันดัชนีหุ้นไทย รวมถึงราคาน้ำมันที่ดีดตัวขึ้นแรงกว่า 4.77 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มพลังงานอย่างคึกคัก
ส่วนสถานการณ์ภายในประเทศที่มีการปาระเบิดหลายจุด ในเขตกรุงเทพฯ น.ส.สุภากร ประเมินว่า ยังไม่ถือว่าเกิดความรุนแรงในระดับที่น่ากังวล เพราะยังไม่มีการปะทะเผชิญหน้าระหว่างสองฝ่าย
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ต่างประเทศคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) มีแนวโน้มจะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% จากระดับปัจจุบันที่ 0.50% เหลือ 0.25% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินวันพรุ่งนี้ (31 ต.ค.)
ก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางจีนประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ลง 0.27% และเช้าวานนี้ ธนาคารกลางฮ่องกงประกาศลดอัตราดอกเบี้ยข้ามคืนลง 0.50% สู่ระดับ 1.50%
นอกจากนี้ ธนาคารกลางไต้หวันประกาศลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานลง 0.25% สู่ระดับ 3 % ตามเฟด จึงมีแรงเก็งกำไรเข้ามาผลักดันให้ตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียปรับขึ้นแรง ประกอบกับราคาหุ้นที่ทรุดตัวลงต่ำกว่าราคาพื้นฐานที่ควรจะเป็นอย่างมาก กระตุ้นให้เกิดแรงเก็งกำไรเข้ามาสนับสนุนดัชนีหุ้นยืนแดนบวก
ภาวะการลงทุนตลาดหุ้นไทย วานนี้(30 ต.ค.) ดัชนีหุ้นไทยสามารถดีดตัวทะลุ 400 จุด ได้สำเร็จ โดยยืนในแดนบวกได้ตลอดทั้งวัน ขานรับกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก ดัชนีปิดที่ระดับ 408.31 จุด เพิ่มขึ้น 24 จุด มูลค่าการซื้อขาย 14,832.07 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,386.45 ล้านบาท
น.ส.สุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี จำกัด กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นแรง เนื่องจากนักลงทุนตอบรับข่าวที่ธนาคารกลางทั่วโลกร่วมมือกันปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อสกัดกั้นเศรษฐกิจไม่ให้เข้าสู่ภาวะถดถอยลงกว่านี้ และยับยั้งวิกฤตการณ์ด้านการเงินไม่ให้ลุกลามออกไป
อีกทั้ง การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลง 0.50% เป็นสัญญาณว่าธนาคารกลางทั่วโลก มีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงหลังจากนี้
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในช่วงบ่ายคาดว่าดัชนีน่าจะยังเคลื่อนไหวในแดนบวกได้ เพราะเชื่อว่าแรงเก็งกำไรจากข่าวที่ธนาคารกลางทั่วโลกร่วมมือกันปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อพยุงเศรษฐกิจจะผลักดันดัชนีหุ้นไทย รวมถึงราคาน้ำมันที่ดีดตัวขึ้นแรงกว่า 4.77 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มพลังงานอย่างคึกคัก
ส่วนสถานการณ์ภายในประเทศที่มีการปาระเบิดหลายจุด ในเขตกรุงเทพฯ น.ส.สุภากร ประเมินว่า ยังไม่ถือว่าเกิดความรุนแรงในระดับที่น่ากังวล เพราะยังไม่มีการปะทะเผชิญหน้าระหว่างสองฝ่าย
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ต่างประเทศคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) มีแนวโน้มจะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% จากระดับปัจจุบันที่ 0.50% เหลือ 0.25% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินวันพรุ่งนี้ (31 ต.ค.)
ก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางจีนประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ลง 0.27% และเช้าวานนี้ ธนาคารกลางฮ่องกงประกาศลดอัตราดอกเบี้ยข้ามคืนลง 0.50% สู่ระดับ 1.50%
นอกจากนี้ ธนาคารกลางไต้หวันประกาศลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานลง 0.25% สู่ระดับ 3 % ตามเฟด จึงมีแรงเก็งกำไรเข้ามาผลักดันให้ตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียปรับขึ้นแรง ประกอบกับราคาหุ้นที่ทรุดตัวลงต่ำกว่าราคาพื้นฐานที่ควรจะเป็นอย่างมาก กระตุ้นให้เกิดแรงเก็งกำไรเข้ามาสนับสนุนดัชนีหุ้นยืนแดนบวก