นักวิเคราะห์ฯเผยตลาดหุ้นไทยเช้านี้ร่วงแรง ตามตลาดหุ้นทั่วโลก คาดรับผลจากกระแส Redemption ของกองทุนต่างชาติที่ต้องการขายเพื่อนำเม็ดเงินไปเสริมสภาพคล่อง อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเกิดวิกฤตทางการเงิน โดยแรงขายเช้านี้ส่วนใหญ่จะพุ่งไปที่หุ้นบิ๊กแคป ส่วนการเมืองในประเทสก็ดูดีขึ้นเล็กน้อย แต่ปัจจัยจากนอกประเทศ กระทบหนัก แนวโน้มช่วงบ่ายคาดดัชนีแกว่งตัวในแดนลบ พร้อมให้แนวรับ 467, 440 แนวต้าน 468, 473 จุด
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วันนี้ ( 10 ต.ค.) ดัชนีปิดตลาดช่วงเช้าที่ระดับ 459.91 จุด ลดลง 40.08 จุด เปลี่ยนแปลง -8.02% มูลค่าการซื้อขาย 9,136.18 ล้านบาท
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวลงแรงตั้งแต่เปิดเทรด ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลกต่างปรับตัวลงแรงเช่นกัน นำโดยดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปรับลงหนักกว่า 7% คาดว่าจะเป็นการรับผลจากกระแสการ Redemption ของกองทุนต่างชาติที่ต้องการขายเพื่อนำเม็ดเงินไปเสริมสภาพคล่อง อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเกิดวิกฤตทางการเงิน โดยแรงขายเช้านี้ส่วนใหญ่จะพุ่งไปที่หุ้นบิ๊กแคป
ส่วนปัจจัยในประเทศในเรื่องของสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงนี้ดูดีขึ้นเล็กน้อย ซึ่งมีน้ำหนักต่อตลาดฯไม่มากเมื่อเทียบกับปัจจัยจากภายนอกประเทศ
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสที่จะรีบาวน์ได้เช่นกัน แต่อาจจะไม่มาก เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาตลาดฯได้ปรับตัวลงเร็วและแรง อีกทั้งราคาหุ้นหลายๆ ตัวได้ปรับตัวลงมาลึกมาก ก็เป็นไปได้ที่จะมีการช้อนเข้าพอร์ตบางส่วน
แนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่ายนี้ คาดว่า ตลาดหุ้นไทยคงจะยังแกว่งตัวในแดนลบ และเมื่อตลาดหุ้นอื่น ๆ ในแถบยุโรปเปิดเทรดมาก็เชื่อว่าคงจะปรับตัวลงต่อ จากการทำ Redemption พร้อมให้แนวรับไว้ที่ 467, 440 จุด แนวต้าน 468, 473 จุด
**ส.โบรกฯ เชื่อรอบนี้ไม่มีต้มยำกุ้ง
มล.ทองมกุฎ ทองใหญ่ ในฐานะนายกสมาคมโบรกเกอร์ต่างประเทศ กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันว่า ไม่น่าจะแย่เหมือนครั้งวิกฤตสถาบันการเงินในปี 2540 ที่อยู่ในช่วงต้มยำกุ้ง เพราะว่าปัจจุบันปัจจัยที่กดดันต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมาจากปัญหาวิกฤตการเงินของสหรัฐอเมริกา เพราะหากพิจารณาพบว่าสถาบันการเงินของไทยค่อนข้างที่จะแข็งแรง ขณะที่สภาพคล่องภายในประเทศก็ยังดีอยู่
อย่างไรก็ตามหวังว่าการร่วมหารือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และผู้ที่เกี่ยวข้องครั้งนี้ เป็นการระดมความคิดเห็นในการหาแนวทางฟื้นฟูตลาดฯ ซึ่งก็น่าจะช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้กลับคืนมาได้บ้าง
"ในบรรยากาศแบบนี้ผมว่าก็เป็นช่วงจังหวะที่ดีที่จะเข้าไปซื้อ LTF เพราะว่าผลตอบแทนที่จะเข้าไปซื้อตอนนี้มองว่าค่อนข้างดี และนักลงทุนที่มีเงินออม จังหวะนี้ก็เป็นจังหวะเหมาะในการเข้ามาซื้อหุ้นพื้นฐาน เพราะว่าบจ.ในตลาดผลการดำเนินก็ยังดีอยู่"
**ค้านเปิดเสรีค่าคอมฯ ล้อมคอกใบอนุญาต
นายกัมปนาท โลหเจริญวนิช ในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กล่าวว่า ปลายเดือน ต.ค.นี้ ทางสมาคมฯ จะเสนอสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทบทวนกรอบเวลาและรูปแบบนโยบายเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น เนื่องจากเห็นว่าสภาวะตลาด ณ ขณะนี้ยังไม่เหมาะ เพราะเหตุการณ์ต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปมาก
อย่างไรก็ตาม ยังเห็นด้วยกับแนวทางการการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น เพียงแต่เห็นว่าช่วงเวลาขณะนี้ยังไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้เท่านั้น เพราะหากหยิบยกประเด็นที่ทางบริษัท บอสตัน คอนเซาท์ติ้ง กรุ๊ป (BCG) เคยประเมินว่าภายใน 5 ปี มาร์เก็ตแคปจะสูงขึ้นเป็น 6 ล้านล้นบาทจาก 5 ล้านล้านบาทในปัจจุบันนั้น คงเป็นไปได้ยากแล้ว ดังนั้นหากนำค่าคอมฯ แบบขั้นบันไดมาใช้ โบรกเกอร์จะต้องมีมาร์เก็ตแชร์ 2-3% ซึ่งโอกาสในขณะนี้ก็น้อยลง
นายกัมปนาท ยังกล่าวว่า จำนวนบริษัทหลักทรัพย์ในปัจจุบันที่ 40 แห่งก็ถือว่ามากพอแล้ว หากมีการเปิดเสรีใบอนุญาตเพิ่มอีก อาจทำให้เกิดปัญหาในลักษณะเดียวกับวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ของสหรัฐฯ ได้
สำหรับภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ในขณะนี้ เชื่อว่าคงจะไม่เห็นการ panic sell ในตลาดหุ้นไทยลงมาแรงๆ อีก เพราะเชื่อว่าถึงจุด bottom แล้ว เพราะเหตุการณ์น่าจะงวดเต็มที่แล้วในระยะนี้จากการที่ธนาคารกลางของประเทศหลักๆ พร้อมใจกันประกาศลดดอกเบี้ยฉุกเฉิน เนื่องจากเป็นการส่งสัญญาณความร่วมมือกันอย่างจริงจังที่จะแก้ไขปัญหา
ส่วนในเรื่องการหยุดปล่อยมาร์จินขึ้นกับการพิจารณาของแต่ละโบรกเกอร์ แต่การที่ราคาหุ้นต่ำ หรือลูกค้า cut loss ทำให้วงเงินมาร์จิ้นลดลงโดยอัตโนมัติ
**โบรกฯ เล็งปรับราคาหุ้นใหม่ตามภาวะศก.
นางวรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เปิดเผยว่า หลังจากได้มีการประชุมร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ และหน่วยงานตลาดทุนที่เกี่ยวข้องในวันนี้ ได้มีการประเมินสถานการ์ณ์จากผลกระทบวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย โดยเสนอให้พิจารณาปรับ Valuation ของหุ้นทั้งตลาด เพื่อสะท้อนถึงมูลค่าที่แท้จริงของราคาหุ้น โดยไม่นำปัจจัยด้านเทคนิคมาพิจารณาร่วมด้วย
"ภาวะเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ นอกจากส่งผลต่อตลาดหุ้น ยังส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยให้ลดลง โดยควรปรับ Valuation ราคาหุ้นใหม่ บนพื้นฐานผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก"
ด้านนายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า ในวันนี้จะมีการส่งหนังสือขอความร่วมมือถึงนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิก เพื่อปรับ Valuation ของหุ้นทั้งตลาดฯ โดยนำสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย มาพิจารณาราคาหุ้นและสะท้อนถึงมูลค่าหุ้นที่แท้จริงหลังเกิดวิกฤตดังกล่าวตามคำเสนอแนะของสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน