ตลาดหุ้นไทยภาคบ่ายร่วง 2.83% ตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก นักลงทุนวิตกเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย หลังวิกฤตการเงินลามเข้าเรียลเซกเตอร์ ขณะที่ระบบภาคการเงินยังมีความอ่อนไหวมาก ส่วนการเมืองในประเทศ ยังไม่ค่อยมีเสถียรภาพ แนะจับตาทิศทางตลาดต่างประเทศ ช่วงวันหยุดพรุ่งนี้ ก่อนเปิดทำการในวันศุกร์ คาดยังมีความเปราะบาง ตกอยู่ในช่วงของวิกฤตซ้อนวิกฤต พร้อมแนะถือเงินสดก่อน
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วันนี้ ( 22 ต.ค.) ดัชนีปิดตลาดช่วงบ่ายที่ระดับ 465.24 จุด ลดลง 13.55 จุด เปลี่ยนแปลง -2.83% มูลค่าการซื้อขาย 9,451.92 ล้านบาท นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธาน คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) คาดการณ์แนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ เชื่อว่ายังมีโอกาสที่จะปรับตัวลงได้อีก และยังคงเห็นการขายของนักลงทุนต่างชาติ ถึงแม้จะมีการขายสุทธิแล้วตั้งแต่ต้นปีนี้ถึงปัจจุบัน 1.3 แสนล้านบาท เนื่องจากปัญหาวิกฤตทางการเงินยังอยู่ และต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย ส่วนจะปรับตัวลงมากแค่ไหนนั้น ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ ขึ้นอยู่กับปัญหาดังกล่าวว่าจะจบได้เมื่อไร
นายปกรณ์ ยอมรับว่า วิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นในอนาคต อาจจะส่งผลต่อระบบสถาบันการเงินไทย จะทำให้ธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ทำให้ธุรกิจขนาดกลาง-เล็กกู้ยืมได้ยากขึ้น อีกทั้งการจัดหากองทุนก็ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนอีกทางหนึ่งด้วย
นายกัมปนาท โลหเจริญวนิช กรรมการอำนวยการ บล.ทรีนีตี้ ในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เปิดเผยว่า ภาวะตลาดหุ้นขณะนี้ยังเป็นขาลงจากผลกระทบของวิกฤตการเงินทำให้ประเทศที่ประสบปัญหาจำเป็นต้องขายหลักทรัพย์รวมถึงตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ดีมองว่าจุดต่ำสุดของตลาดหุ้นคือเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ต้องมีการใช้มาตรการเซอร์กิต เบรกเกอร์ ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นเฉลี่ยปรับตัวลดลงไป 51%
นอกจากนี้ หลังจากรัฐบาลต่างๆ ทั่วโลก ได้ร่วมมือกันออกมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน ซึ่งส่งผลให้ความกังวลจากปัญหาดังกล่าวคลี่คลายลง แต่อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามผลกระทบที่จะลุกลามสู่ภาค real sector ของสหรัฐ โดยจับตาว่า นับจากนี้ไปจนถึงปีหน้าจะได้รับผลกระทบรุนแรงเพียงใด อีกทั้งภาวะตลาดหุ้นที่อยู่ในลักษณะแบร์ มาร์เก็ต ในช่วงนี้ดัชนีจะมีการปรับลงแรงและขึ้นแรง
"มองว่าในช่วงต้นปีหน้าอาจจะเห็นดัชนีฯขึ้นไปถึง 500-600 จุด และหลังจากมีข่าวที่ออกมาจากภาค real sector ของสหรัฐที่คาดว่าจะหดตัวลงในปีหน้าหลังจากนั้นในช่วงครึ่งปีหลังอาจจะส่งผลกระทบต่อดัชนีฯหุ้นไทยให้มีจุดต่ำสุดของปี 52 อยู่ที่ 350 จุด ซึ่งผลกระทบดังกล่าวจะกระทบในภาคธุรกิจโดยตรง โดยเฉพาะธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์และธุรกิจท่องเที่ยว"
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนวิพุฒิ กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ข่าวร้ายจากสถาบันการเงิน ณ ตอนนี้คาดว่าจะหมดแล้ว แต่ผลกระทบดังกล่าวจะเริ่มลุกลามมายังภาคเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการบริโภคภายในประเทศของสหรัฐอาจลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบทางอ้อมต่อจีดีพีในปีหน้าของไทยให้เติบโตชะลอลงเหลือเพียง 3% ต้นๆ
ส่วนผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมองว่า ทิศทางตลาดหุ้นยังถูกกำหนดโดยแรงซื้อขายจากต่างชาติ ซึ่งต่างชาติมีสัดส่วนการถือหุ้นของไทยอยู่ที่ 30% ของมาร์เกตแคป ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวยังไม่สามารถประเมินได้ว่าแรงขายของต่างชาติจะหมดลงเมื่อใด ซึ่งยังต้องติดตามถึงมูลค่าความเสียหายจากปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีตัวเลขมากขึ้นเรื่อยๆยังจะต้องติดตามว่าตัวเลขความเสียหายที่แท้จริงจะเป็นเท่าใด
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงตามตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลก เนื่องจากมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยเห็นได้จากราคาของสินค้าโภคภัณฑ์เวลานี้ได้ปรับตัวลงลึก อย่างราคาน้ำมันดิบที่ไหลลงมาต่ำในระดับ 70 เหรียญ/บาร์เรล
นอกจากนี้ ระบบภาคการเงินยังมีความอ่อนไหวมาก อย่างวันนี้มีข่าวเล็กๆ ในอาร์เจนตินาที่ระบบ pension fund ล้มแล้วรัฐบาลได้เข้าไปช่วยเหลือ ทำให้ความหวาดวิตกของนักลงทุนกลับเข้ามาอีกระลอกหนึ่ง สำหรับปัจจัยในประเทศเรื่องของการเมืองที่ได้มีการรับรู้ไปมากแล้ว ทำให้เวลานี้ไม่มีน้ำหนักต่อตลาดเท่าไรนัก
"ภาพรวมของตลาดฯยังมี downside วิกฤตการเงินโลกยังไม่จบก็ต้องมาเผชิญกับเศรษฐกิจถดถอยอีก ส่วนการเมืองในประเทศก็ยังไม่ค่อยมีเสถียรภาพ ดังนั้น ตลาดฯจึงยังมีข้อจำกัดในการรีบาวน์ ขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะลงทันทีหากมีปัจจัยลบเข้ามากระทบ"
แนวโน้มการลงทุนในวันศุกร์นี้ (24 ต.ค.) นายพิชัย กล่าวว่า ต้องรอดูทิศทางของตลาดต่างประเทศในช่วงวันหยุดก่อน ซึ่งตลาดหุ้นไทยไทยหยุดทำการในพรุ่งนี้ (วันปิยมหาราช) ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยยังมีความเปราะบาง เพราะอยู่ในช่วงของวิกฤตซ้อนวิกฤต จำเป็นจะต้องถือเงินสดก่อน พร้อมให้แนวรับ 450 จุด แนวต้าน 476, 490 จุด