ธ.ก.ส. หนุนสินเชื่อพลังงานทดแทน แก้วิกฤตน้ำมันแพง คาดปล่อยได้ถึง 35,000 ล้านบาททะลุเป้าที่วางไว้ 25,000 ล้านบาท พร้อมทั้งจัดอบรมถ่ายทอดความรู้ด้านเทคโนโลยีการผลิต และการศึกษาดูงานให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ
นายธีรพงษ์ ตั้งธีระสุนันท์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส.ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงโครงการสนับสนุนการผลิตและการตลาดพืชพลังงานกับบริษัท ซีฮอร์ส จำกัด (มหาชน)SH ในการสนับสนุนสินเชื่อพืชพลังงานทดแทนนำร่อง คือมันสำปะหลัง และอ้อย ที่ จ.นครราชสีมา โดยตั้งเป้าหมายวงเงินไว้ 27,000 ล้านบาท แต่คาดว่า จะทะลุเป้าไปถึง 35,000-40,000 ล้านบาท ซึ่งจะร่วมกันทำโครงการเกษตรครบวงจรเชื่อมโยงการผลิตและการตลาด ระหว่างเกษตรกรลูกค้ากับโรงงาน พร้อมทั้งจัดอบรมถ่ายทอดความรู้ด้านเทคโนโลยีการผลิต และการศึกษาดูงานให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ
ทั้งนี้จากภาวะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ทุกประเทศทั่วโลกต่างเริ่มตระหนักถึงมาตรการประหยัดพลังงาน และวิธีลดการพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิงโดยใช้พืชพลังงานทดแทน ได้แก่ มันสำปะหลัง และอ้อย ซึ่งสามารถนำไปผลิตแอลกอฮอล์หรือเอทานอลเพื่อนำไปผสมกับน้ำมันเบนซินผลิตเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ช่วยบรรเทาวิกฤตพลังงานรวมทั้งลดผลกระทบทางด้านแวดล้อมด้วย ธ.ส.ก.จึงร่วมมือกับบริษัท ซีฮอร์ส ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเอทานอล ดำเนินงานตามโครงการสนับสนุนการผลิตและการตลาดพืชพลังงานดังกล่าว
“ธ.ก.ส. จะสนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการแบบแนะนำกำกับ เพื่อให้กระบวนการผลิตทุกขั้นตอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเชื่อมโยงการผลิตและการตลาดระหว่างเกษตรกรลูกค้าผู้ผลิต กับโรงงานที่ต้องการใช้วัตถุดิบไปแปรรูป ขณะที่บริษัทจะรวบรวมรายชื่อเกษตรกรในพื้นที่เป้าหมายที่ต้องการเข้าร่วมโครงการให้ ธ.ก.ส.พิจารณาสินเชื่อ และรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการทุกราย ณ จุดรับซื้อในราคาที่เป็นธรรม และเป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่าย โดยชำระเงินค่าผลผลิตทันที ในวันที่รับมอบผลผลิตหรือวันที่ได้ตกลงกันไว้”
นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมการบริษัท ซีฮอร์ส กล่าวว่า แม้ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงแล้ว แต่ก็ไม่กระทบต่อการดำเนินโครงการดังกล่าว เพราะราคาน้ำมันยังผันผวนและไม่มีเสถียรภาพ อีกทั้งยังอยู่ในราคาสูง ดังนั้นการหันมาใช้พลังงานทดแทนจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะถึงอย่างไรก็มีราคาถูกกว่าน้ำมัน ทำให้ช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ที่สูงของไทยได้ และทำให้ไทยยังพอแข่งขันในตลาดโลกได้อยู่ จากปัจจุบันนี้ต้นทุนด้านโลจิสติกส์ของไทยสูงถึง 20% ซึ่งไม่สามารถแข่งขันได้แน่นอน และต้องการนโยบายด้านพลังงานทดแทนจากรัฐบาลที่ชัดเจนด้วย
นายธีรพงษ์ ตั้งธีระสุนันท์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส.ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงโครงการสนับสนุนการผลิตและการตลาดพืชพลังงานกับบริษัท ซีฮอร์ส จำกัด (มหาชน)SH ในการสนับสนุนสินเชื่อพืชพลังงานทดแทนนำร่อง คือมันสำปะหลัง และอ้อย ที่ จ.นครราชสีมา โดยตั้งเป้าหมายวงเงินไว้ 27,000 ล้านบาท แต่คาดว่า จะทะลุเป้าไปถึง 35,000-40,000 ล้านบาท ซึ่งจะร่วมกันทำโครงการเกษตรครบวงจรเชื่อมโยงการผลิตและการตลาด ระหว่างเกษตรกรลูกค้ากับโรงงาน พร้อมทั้งจัดอบรมถ่ายทอดความรู้ด้านเทคโนโลยีการผลิต และการศึกษาดูงานให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ
ทั้งนี้จากภาวะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ทุกประเทศทั่วโลกต่างเริ่มตระหนักถึงมาตรการประหยัดพลังงาน และวิธีลดการพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิงโดยใช้พืชพลังงานทดแทน ได้แก่ มันสำปะหลัง และอ้อย ซึ่งสามารถนำไปผลิตแอลกอฮอล์หรือเอทานอลเพื่อนำไปผสมกับน้ำมันเบนซินผลิตเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ช่วยบรรเทาวิกฤตพลังงานรวมทั้งลดผลกระทบทางด้านแวดล้อมด้วย ธ.ส.ก.จึงร่วมมือกับบริษัท ซีฮอร์ส ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเอทานอล ดำเนินงานตามโครงการสนับสนุนการผลิตและการตลาดพืชพลังงานดังกล่าว
“ธ.ก.ส. จะสนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการแบบแนะนำกำกับ เพื่อให้กระบวนการผลิตทุกขั้นตอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเชื่อมโยงการผลิตและการตลาดระหว่างเกษตรกรลูกค้าผู้ผลิต กับโรงงานที่ต้องการใช้วัตถุดิบไปแปรรูป ขณะที่บริษัทจะรวบรวมรายชื่อเกษตรกรในพื้นที่เป้าหมายที่ต้องการเข้าร่วมโครงการให้ ธ.ก.ส.พิจารณาสินเชื่อ และรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการทุกราย ณ จุดรับซื้อในราคาที่เป็นธรรม และเป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่าย โดยชำระเงินค่าผลผลิตทันที ในวันที่รับมอบผลผลิตหรือวันที่ได้ตกลงกันไว้”
นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมการบริษัท ซีฮอร์ส กล่าวว่า แม้ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงแล้ว แต่ก็ไม่กระทบต่อการดำเนินโครงการดังกล่าว เพราะราคาน้ำมันยังผันผวนและไม่มีเสถียรภาพ อีกทั้งยังอยู่ในราคาสูง ดังนั้นการหันมาใช้พลังงานทดแทนจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะถึงอย่างไรก็มีราคาถูกกว่าน้ำมัน ทำให้ช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ที่สูงของไทยได้ และทำให้ไทยยังพอแข่งขันในตลาดโลกได้อยู่ จากปัจจุบันนี้ต้นทุนด้านโลจิสติกส์ของไทยสูงถึง 20% ซึ่งไม่สามารถแข่งขันได้แน่นอน และต้องการนโยบายด้านพลังงานทดแทนจากรัฐบาลที่ชัดเจนด้วย