แบงก์ชาติเผยภาคธุรกิจในระบบมีหนี้เพิ่มขึ้น 5.7 หมื่นล้านบาท แต่ยอดสุทธิลดลง 1.8 หมื่นล้าน ธุรกิจอุตสาหกรรมมีหนี้ลดลงมากที่สุด แม้ภาคอุตสาหกรรมาครองแชมป์ที่มีหนี้เพิ่มขึ้น แต่มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่ดีทำให้หนี้ลดลง
รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แจ้งว่า สายนโยบายสถาบันการเงินของ ธปท.ได้ประกาศยอดคงค้างหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Gross) ของระบบสถาบันการเงิน ซึ่งแยกตามประเภทธุรกิจล่าสุดไตรมาส 2 ของปีนี้ พบว่า ภาคธุรกิจในระบบมียอดหนี้เพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 57,172 ล้านบาท และยอดหนี้ลดลง 75,247 ล้านบาท ทำให้ยอดหนี้โดยรวมลดลงสุทธิ 18,075 ล้านบาท ซึ่งธุรกิจที่มีหนี้ลดลงมากที่สุด คือ ธุรกิจอุตสาหกรรม 8,004 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลมีหนี้เพิ่มขึ้นมากที่สุดในระบบ 696 ล้านบาท โดยเป็นผลจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลง
ทั้งนี้ หากพิจารณายอดหนี้ที่เพิ่มขึ้นเกิดจากลูกหนี้รายใหม่ทั้งสิ้น 34,620 ล้านบาท โดยภาคอุตสาหกรรมมากที่สุด 12,204 ล้านบาท รองลงมาธุรกิจอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล 9,236 ล้านบาท และอันดับ 3 คือ ธุรกิจพาณิชย์ 4,680 ล้านบาท ส่วนธุรกิจการบริการ 2,697 ล้านบาท ก่อสร้าง 1,975 ล้านบาท ธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ 1,704 ล้านบาท สาธารณูปโภค 1,183 ล้านบาท เกษตร ประมง และป่าไม้ 808 ล้านบาท เหมืองแร่และย่อยหิน 91 ล้านบาท และธุรกิจเกี่ยวกับธนาคารและธุรกิจการเงิน 42 ล้านบาท
ขณะที่ลูกหนี้เก่าที่เคยปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้วกลับมาเป็นหนี้อีกครั้ง (Re-Entry) ทั้งสิ้น 14,485 ล้านบาท โดยภาคอุตสาหกรรมมีหนี้เพิ่มขึ้นจากสาเหตุนี้ 4,982 ล้านบาท อุปโภคบริโภคส่วนบุคคล 2,751 ล้านบาท พาณิชย์ 2,042 ล้านบาท บริการ 1,358 ล้านบาท ธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ 1,302 ล้านบาท ก่อสร้าง 821 ล้านบาทเกษตร ประมง และป่าไม้ 514 ล้านบาท เหมืองแร่และย่อยหิน 309 ล้านบาท และธุรกิจสาธารณูปโภค 198 ล้านบาท
ด้านหนี้ที่เพิ่มขึ้นเกิดจากสาเหตุอื่นๆ อีก 8,067 ล้านบาท ซึ่งธุรกิจอุตสาหกรรมมากที่สุด 4,631 ล้านบาท รองลงมาธุรกิจพาณิชย์ อุปโภคบริโภคส่วนบุคคล 690 ล้านบาท และธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ 689 ล้านบาท
ส่วนยอดหนี้ที่ลดลงเกิดจากสาเหตุปรับโครงสร้างจำนวน 21,202 ล้านบาท ซึ่งภาคอุตสาหกรรมมีหนี้ลดลง 8,252 ล้านบาท พาณิชย์ 3,510 ล้านบาท และธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ 2,939 ล้านบาท และอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล 2,760 ล้านบาท ขณะที่หนี้ที่ลดลงจากสาเหตุอื่นๆ อีก 54,045 ล้านบาท ในธุรกิจอุตสาหกรรมลดลงมากที่สุด 21,569 ล้านบาท อุปโภคบริโภคส่วนบุคคล 9,221 ล้านบาท และธุรกิจพาณิชย์ 3,510 ล้านบาท
รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แจ้งว่า สายนโยบายสถาบันการเงินของ ธปท.ได้ประกาศยอดคงค้างหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Gross) ของระบบสถาบันการเงิน ซึ่งแยกตามประเภทธุรกิจล่าสุดไตรมาส 2 ของปีนี้ พบว่า ภาคธุรกิจในระบบมียอดหนี้เพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 57,172 ล้านบาท และยอดหนี้ลดลง 75,247 ล้านบาท ทำให้ยอดหนี้โดยรวมลดลงสุทธิ 18,075 ล้านบาท ซึ่งธุรกิจที่มีหนี้ลดลงมากที่สุด คือ ธุรกิจอุตสาหกรรม 8,004 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลมีหนี้เพิ่มขึ้นมากที่สุดในระบบ 696 ล้านบาท โดยเป็นผลจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลง
ทั้งนี้ หากพิจารณายอดหนี้ที่เพิ่มขึ้นเกิดจากลูกหนี้รายใหม่ทั้งสิ้น 34,620 ล้านบาท โดยภาคอุตสาหกรรมมากที่สุด 12,204 ล้านบาท รองลงมาธุรกิจอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล 9,236 ล้านบาท และอันดับ 3 คือ ธุรกิจพาณิชย์ 4,680 ล้านบาท ส่วนธุรกิจการบริการ 2,697 ล้านบาท ก่อสร้าง 1,975 ล้านบาท ธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ 1,704 ล้านบาท สาธารณูปโภค 1,183 ล้านบาท เกษตร ประมง และป่าไม้ 808 ล้านบาท เหมืองแร่และย่อยหิน 91 ล้านบาท และธุรกิจเกี่ยวกับธนาคารและธุรกิจการเงิน 42 ล้านบาท
ขณะที่ลูกหนี้เก่าที่เคยปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้วกลับมาเป็นหนี้อีกครั้ง (Re-Entry) ทั้งสิ้น 14,485 ล้านบาท โดยภาคอุตสาหกรรมมีหนี้เพิ่มขึ้นจากสาเหตุนี้ 4,982 ล้านบาท อุปโภคบริโภคส่วนบุคคล 2,751 ล้านบาท พาณิชย์ 2,042 ล้านบาท บริการ 1,358 ล้านบาท ธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ 1,302 ล้านบาท ก่อสร้าง 821 ล้านบาทเกษตร ประมง และป่าไม้ 514 ล้านบาท เหมืองแร่และย่อยหิน 309 ล้านบาท และธุรกิจสาธารณูปโภค 198 ล้านบาท
ด้านหนี้ที่เพิ่มขึ้นเกิดจากสาเหตุอื่นๆ อีก 8,067 ล้านบาท ซึ่งธุรกิจอุตสาหกรรมมากที่สุด 4,631 ล้านบาท รองลงมาธุรกิจพาณิชย์ อุปโภคบริโภคส่วนบุคคล 690 ล้านบาท และธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ 689 ล้านบาท
ส่วนยอดหนี้ที่ลดลงเกิดจากสาเหตุปรับโครงสร้างจำนวน 21,202 ล้านบาท ซึ่งภาคอุตสาหกรรมมีหนี้ลดลง 8,252 ล้านบาท พาณิชย์ 3,510 ล้านบาท และธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ 2,939 ล้านบาท และอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล 2,760 ล้านบาท ขณะที่หนี้ที่ลดลงจากสาเหตุอื่นๆ อีก 54,045 ล้านบาท ในธุรกิจอุตสาหกรรมลดลงมากที่สุด 21,569 ล้านบาท อุปโภคบริโภคส่วนบุคคล 9,221 ล้านบาท และธุรกิจพาณิชย์ 3,510 ล้านบาท
