ธปท.ย้ำกรอบมาสเตอร์แพลน เฟส 2 ในอีก 5-10 ปีข้าง หนุนแบงก์ควบรวมพันธมิตร ย้ำเพื่อความแข็งแกร่ง ไม่ใช่ฐานะการเงินมีปัญหา ส่วนอนาคตบง.-บค.ที่เหลือ ในที่สุดจะปรับเป็นนอนแบงก์
นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า แผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินฉบับที่ 2 (มาสเตอร์แพลน เฟส2) ธปท.จะเน้นให้ระบบสถาบันการเงินมีการเติบโตที่มีประสิทธิภาพ โดยเปิดให้มีการควบรวมกิจการของสถาบันการเงินไทย เพื่อให้สามารถแข่งขันกับต่างชาติได้ และมีผู้เล่นรายใหม่มีการแข่งขันมากขึ้น เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถตอบสนองความต้องการทางด้าน การบริการทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นการพัฒนาต่อจากมาสเตอร์แพลนฉบับแรกที่เน้นการจัดระเบียบของสถาบันการเงิน
“ทั้งนี้ ภายใต้กรอบอีก 5-10 ปีข้างหน้า สถาบันการเงินย่อมหนี้ไม่พ้นการควบรวมกิจการ แต่ธปท.อยากให้ประชาชนเข้าใจว่าถึงแม้จะมีการควบรวมกิจการ แต่ก็เป็นการควบรวบเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง ในการรองรับการเปิดเสรีทางการเงิน ไม่ได้เป็นการควบรวมกิจการเพราะสถาบันการเงินฐานะมีปัญหา ซึ่งธปท.เองก็สนับสนุนให้มีการควบรวม แต่เป็นไปด้วยความสมัครใจ ธปท.ไม่ได้บังคับ”ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท.กล่าว
นายสรสิทธิ์ กล่าวต่ออีกว่า สำหรับอนาคตของบริษัทเงินทุน (บง.) 5 แห่ง และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ (บค.) 3 แห่ง ที่เหลือ หลังจากที่มาสเตอร์แพลนเฟส 2 เสร็จสมบูรณ์และมีผลบังคับใช้ โดยบง.และบค.เหล่านั้น ซึ่งหากไม่ปรับสถานะตัวเองขึ้นเป็นธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ หรือเป็นธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย ก็คงต้องปรับรูปแบบการทำธุรกิจ ซึ่งในที่สุดคงต้องปรับสถานะไปเป็นนอนแบงก์ ในรูปแบบของบริษัทที่ไม่รับฝากเงิน แต่เน้นการปล่อยสินเชื่อมากกว่า
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ตามแผนมาสเตอร์แพลนฉบับแรกที่ออกมาก่อนหน้านี้ บริษัทเงินทุน (บง.) และบริษัทเครดิต ฟองซิเอร์ (บค.) ส่วนใหญ่ได้ปรับฐานะเป็นธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ (ธพ.) และธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย (ธย.) เกือบหมดแล้ว เหลือเพียงบริษัทเงินทุน 5 แห่ง คือ บง.ฟินันซ่า บง.กรุงเทพธนาทร บง.แอ๊ดวานซ์ บง.สินอุตสาหกรรม และบง.อเมริกันเอ็กเพรสที่ยังไม่ปรับสถานะ ขณะที่ บค.ยังเหลืออีก 3 แห่ง ได้แก่ บค. สหวิริยา บค.เอเชีย และบค.ลินน์ ฟิลลิปส์ มอร์ทเก็จ ที่ยังคงสถานะเป็นบริษัทเครดิตฟองซิเอร์อยู่
นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า แผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินฉบับที่ 2 (มาสเตอร์แพลน เฟส2) ธปท.จะเน้นให้ระบบสถาบันการเงินมีการเติบโตที่มีประสิทธิภาพ โดยเปิดให้มีการควบรวมกิจการของสถาบันการเงินไทย เพื่อให้สามารถแข่งขันกับต่างชาติได้ และมีผู้เล่นรายใหม่มีการแข่งขันมากขึ้น เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถตอบสนองความต้องการทางด้าน การบริการทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นการพัฒนาต่อจากมาสเตอร์แพลนฉบับแรกที่เน้นการจัดระเบียบของสถาบันการเงิน
“ทั้งนี้ ภายใต้กรอบอีก 5-10 ปีข้างหน้า สถาบันการเงินย่อมหนี้ไม่พ้นการควบรวมกิจการ แต่ธปท.อยากให้ประชาชนเข้าใจว่าถึงแม้จะมีการควบรวมกิจการ แต่ก็เป็นการควบรวบเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง ในการรองรับการเปิดเสรีทางการเงิน ไม่ได้เป็นการควบรวมกิจการเพราะสถาบันการเงินฐานะมีปัญหา ซึ่งธปท.เองก็สนับสนุนให้มีการควบรวม แต่เป็นไปด้วยความสมัครใจ ธปท.ไม่ได้บังคับ”ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท.กล่าว
นายสรสิทธิ์ กล่าวต่ออีกว่า สำหรับอนาคตของบริษัทเงินทุน (บง.) 5 แห่ง และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ (บค.) 3 แห่ง ที่เหลือ หลังจากที่มาสเตอร์แพลนเฟส 2 เสร็จสมบูรณ์และมีผลบังคับใช้ โดยบง.และบค.เหล่านั้น ซึ่งหากไม่ปรับสถานะตัวเองขึ้นเป็นธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ หรือเป็นธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย ก็คงต้องปรับรูปแบบการทำธุรกิจ ซึ่งในที่สุดคงต้องปรับสถานะไปเป็นนอนแบงก์ ในรูปแบบของบริษัทที่ไม่รับฝากเงิน แต่เน้นการปล่อยสินเชื่อมากกว่า
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ตามแผนมาสเตอร์แพลนฉบับแรกที่ออกมาก่อนหน้านี้ บริษัทเงินทุน (บง.) และบริษัทเครดิต ฟองซิเอร์ (บค.) ส่วนใหญ่ได้ปรับฐานะเป็นธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ (ธพ.) และธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย (ธย.) เกือบหมดแล้ว เหลือเพียงบริษัทเงินทุน 5 แห่ง คือ บง.ฟินันซ่า บง.กรุงเทพธนาทร บง.แอ๊ดวานซ์ บง.สินอุตสาหกรรม และบง.อเมริกันเอ็กเพรสที่ยังไม่ปรับสถานะ ขณะที่ บค.ยังเหลืออีก 3 แห่ง ได้แก่ บค. สหวิริยา บค.เอเชีย และบค.ลินน์ ฟิลลิปส์ มอร์ทเก็จ ที่ยังคงสถานะเป็นบริษัทเครดิตฟองซิเอร์อยู่
