ธปท.เผยความคืบหน้ามาสเตอร์แพลนเฟส 2 จะเห็นภาพชัดเจนไตรมาส 3 ของปีนี้ หนุนแบงก์ไทยควบรวมกิจการ สร้างความแข็งแกร่งรองรับปี 2552 ที่จะเปิดใบอนุญาตแบงก์ใหม่ รวมทั้งเปิดประตูให้สถาบันการเงินต่างชาติรุกตลาดการเงินไทย
นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าของการจัดทำแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ฉบับที่ 2 (มาสเตอร์แพลน เฟส 2 )ว่า ในส่วนประเด็นของการเพิ่มจำนวนแบงก์ โดยเปิดให้มีการควบรวมกิจการของสถาบันการเงินไทย เพื่อให้สามารถแข่งขันกับต่างชาติได้นั้น ในเบื้องต้นคาดว่าภายในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ จะทราบความคืบหน้าและรายละเอียดต่างๆได้ชัดเจนขึ้น
ขณะนี้มีความคืบหน้าไปมากพอสมควร โดยในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ธปท.ได้หารือกับธนาคารพาณิชย์เพื่อระดมความคิดเห็น ซึ่งธปท.จะนำข้อมูลมารวบรวมและตัดสินใจในการดำเนินการมาสเตอร์แพลนฉบับที่ 2 ต่อไป โดยในปี 2552 ธปท.ยังคงดำเนินนโยบายการเปิดเสรีทางการเงินต่อไป ซึ่งมาสเตอร์แพลนฉบับที่ 2 จะเน้นให้ระบบสถาบันการเงินมีการเติบโตที่มีประสิทธิภาพ และมีผู้เล่นรายใหม่มีการแข่งขันมากขึ้น และเพื่อให้สถาบันการเงินสามารถตอบสนองความต้องการทางด้าน การบริการทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นการพัฒนาต่อจากมาสเตอร์แพลนฉบับแรกที่เน้นการจัดระเบียบของสถาบันการเงิน ซึ่งได้เสร็จสมบูรณ์ไปแล้วช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ตามกำหนดการนั้นในปี 2552 จะมีการเปิดใบอนุญาตสถาบันการเงินแห่งใหม่ รวมทั้งออกเกณฑ์ที่จะเอื้อให้สถาบันการเงินต่างชาติเข้ามาแข่งขันในตลาดได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการควบรวมกิจการของสถาบันการเงินนั้น ในส่วนของ ธปท.คงไม่เข้าไปก้าวก่ายให้เป็นการตัดสินใจของธนาคารพาณิชย์และพันธมิตรตามกลไกของตลาดเป็นหลัก แต่จะช่วยให้เรื่องการให้ข้อมูลฐานะการเงินของธนาคารพาณิชย์ไทย รวมทั้งช่วยลดต้นทุนและลดปัญหาอุปสรรคในการควบรวมกิจการ โดยให้ธนาคารพาณิชย์เสนอเข้ามาว่าต้องการให้ช่วยในเรื่องใดบ้าง
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับสาระสำคัญของมาสเตอร์แพลนฉบับที่ 2 มี 3 เรื่องคือ การเพิ่มประสิทธิภาพระบบสถาบันการเงิน โดยสนับสนุนให้มีการแข่งขันกันมากขึ้นทั้งธนาคารพาณิชย์ไทยและธนาคารต่างชาติและระหว่างธนาคารพาณิชย์กับบริษัทปล่อยสินเชื่อที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) การเปิดเสรีของระบบสถาบันการเงิน ซึ่งมีนัยสำคัญหลายด้าน เช่น การเปิดเสรีขอบเขตธุรกิจที่สถาบันการเงินสามารถทำได้มากขึ้นเปิดให้สามารถเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ แก่ลูกค้าได้มากขึ้น รวมทั้งสุดท้ายที่จะเปิดให้มีผู้เล่นรายใหม่ ๆ เข้ามาในระบบมากขึ้น โดยเฉพาะสถาบันการเงินต่างชาติ ดังนั้น เพื่อเพิ่มความสามารถการทำธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ไทยมาสเตอร์แพลน 2 จะมีความชัดเจนมากขึ้นในการสนับสนุนให้มีการควบรวมกิจการของธนาคารไทยเพื่อรักษาความสามารถการแข่งขันกับสถาบันการเงินต่างชาติ
ส่วนประเด็นสุดท้าย สนับสนุนให้สถาบันการเงินมีการบริหารงานที่มีต้นทุนต่ำและมีประสิทธิภาพช่วยขจัดอุปสรรคต่างๆ เช่น เรื่องข้อกฎหมายและระบบภาษี ซึ่งธปท.พยายามดูว่ามีภาษีอะไรบ้างที่ยังเป็นข้อจำกัดในการทำธุรกรรมทางการเงิน รวมทั้งการพัฒนาให้เกิดองค์กรหรือสถาบันที่จะช่วยในเรื่องของการตัดสินใจ มีระบบข้อมูลที่ดีในการพัฒนาระบบข้อมูลพื้นฐาน การบริหารความเสี่ยง เช่น การจัดตั้งบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agency) มีการพัฒนาระบบการตีราคาตามราคาตลาด (Mark to Market) เพื่อช่วยให้การทำงานของระบบสถาบันการเงินมีความสะดวกมากขึ้น นอกจากนี้ การพัฒนาบุคลากรที่มีความชำนาญ และการมีระบบสนับสนุนทางการเงินที่ดี เพื่อช่วยลดต้นทุนของสถาบันการเงินไทยให้แข่งขันกับต่างชาติได้ดีขึ้น
นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าของการจัดทำแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ฉบับที่ 2 (มาสเตอร์แพลน เฟส 2 )ว่า ในส่วนประเด็นของการเพิ่มจำนวนแบงก์ โดยเปิดให้มีการควบรวมกิจการของสถาบันการเงินไทย เพื่อให้สามารถแข่งขันกับต่างชาติได้นั้น ในเบื้องต้นคาดว่าภายในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ จะทราบความคืบหน้าและรายละเอียดต่างๆได้ชัดเจนขึ้น
ขณะนี้มีความคืบหน้าไปมากพอสมควร โดยในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ธปท.ได้หารือกับธนาคารพาณิชย์เพื่อระดมความคิดเห็น ซึ่งธปท.จะนำข้อมูลมารวบรวมและตัดสินใจในการดำเนินการมาสเตอร์แพลนฉบับที่ 2 ต่อไป โดยในปี 2552 ธปท.ยังคงดำเนินนโยบายการเปิดเสรีทางการเงินต่อไป ซึ่งมาสเตอร์แพลนฉบับที่ 2 จะเน้นให้ระบบสถาบันการเงินมีการเติบโตที่มีประสิทธิภาพ และมีผู้เล่นรายใหม่มีการแข่งขันมากขึ้น และเพื่อให้สถาบันการเงินสามารถตอบสนองความต้องการทางด้าน การบริการทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นการพัฒนาต่อจากมาสเตอร์แพลนฉบับแรกที่เน้นการจัดระเบียบของสถาบันการเงิน ซึ่งได้เสร็จสมบูรณ์ไปแล้วช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ตามกำหนดการนั้นในปี 2552 จะมีการเปิดใบอนุญาตสถาบันการเงินแห่งใหม่ รวมทั้งออกเกณฑ์ที่จะเอื้อให้สถาบันการเงินต่างชาติเข้ามาแข่งขันในตลาดได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการควบรวมกิจการของสถาบันการเงินนั้น ในส่วนของ ธปท.คงไม่เข้าไปก้าวก่ายให้เป็นการตัดสินใจของธนาคารพาณิชย์และพันธมิตรตามกลไกของตลาดเป็นหลัก แต่จะช่วยให้เรื่องการให้ข้อมูลฐานะการเงินของธนาคารพาณิชย์ไทย รวมทั้งช่วยลดต้นทุนและลดปัญหาอุปสรรคในการควบรวมกิจการ โดยให้ธนาคารพาณิชย์เสนอเข้ามาว่าต้องการให้ช่วยในเรื่องใดบ้าง
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับสาระสำคัญของมาสเตอร์แพลนฉบับที่ 2 มี 3 เรื่องคือ การเพิ่มประสิทธิภาพระบบสถาบันการเงิน โดยสนับสนุนให้มีการแข่งขันกันมากขึ้นทั้งธนาคารพาณิชย์ไทยและธนาคารต่างชาติและระหว่างธนาคารพาณิชย์กับบริษัทปล่อยสินเชื่อที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) การเปิดเสรีของระบบสถาบันการเงิน ซึ่งมีนัยสำคัญหลายด้าน เช่น การเปิดเสรีขอบเขตธุรกิจที่สถาบันการเงินสามารถทำได้มากขึ้นเปิดให้สามารถเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ แก่ลูกค้าได้มากขึ้น รวมทั้งสุดท้ายที่จะเปิดให้มีผู้เล่นรายใหม่ ๆ เข้ามาในระบบมากขึ้น โดยเฉพาะสถาบันการเงินต่างชาติ ดังนั้น เพื่อเพิ่มความสามารถการทำธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ไทยมาสเตอร์แพลน 2 จะมีความชัดเจนมากขึ้นในการสนับสนุนให้มีการควบรวมกิจการของธนาคารไทยเพื่อรักษาความสามารถการแข่งขันกับสถาบันการเงินต่างชาติ
ส่วนประเด็นสุดท้าย สนับสนุนให้สถาบันการเงินมีการบริหารงานที่มีต้นทุนต่ำและมีประสิทธิภาพช่วยขจัดอุปสรรคต่างๆ เช่น เรื่องข้อกฎหมายและระบบภาษี ซึ่งธปท.พยายามดูว่ามีภาษีอะไรบ้างที่ยังเป็นข้อจำกัดในการทำธุรกรรมทางการเงิน รวมทั้งการพัฒนาให้เกิดองค์กรหรือสถาบันที่จะช่วยในเรื่องของการตัดสินใจ มีระบบข้อมูลที่ดีในการพัฒนาระบบข้อมูลพื้นฐาน การบริหารความเสี่ยง เช่น การจัดตั้งบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agency) มีการพัฒนาระบบการตีราคาตามราคาตลาด (Mark to Market) เพื่อช่วยให้การทำงานของระบบสถาบันการเงินมีความสะดวกมากขึ้น นอกจากนี้ การพัฒนาบุคลากรที่มีความชำนาญ และการมีระบบสนับสนุนทางการเงินที่ดี เพื่อช่วยลดต้นทุนของสถาบันการเงินไทยให้แข่งขันกับต่างชาติได้ดีขึ้น
