กรมที่ดินงัดมาตรการเข้มคุมนอมินีต่างด้าวฮุบที่ดิน เพิ่มเนื้อหาเช่าระยะยาวอาจเข้าข่ายตรวจสอบ หวั่นต่างชาติหัวหมอแอบครอบครอง แต่ยอมรับนับวันตรวจสอบยากขึ้น เผยผลการจัดเก็บรายได้ทั้งปีงบประมาณ 2551 คาดตามเป้า 50,000 ล้านบาท
ตามที่กระทรวงมหาดไทย ได้พยายามวางแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการขอได้มาซึ่งที่ดินของบริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่จดทะเบียนแล้ว (ยกเว้นบริษัทมหาชนจำกัด หรือนิติบุคคล ที่ได้รับอนุญาตให้ได้มาซึ่งที่ดินตามกฎหมายอื่น) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และมีคนต่างด้าวถือหุ้น หรือเป็นกรรมการ หรือมีเหตุอันควรที่ทำให้เชื่อว่า"ให้คนไทย"เป็นผู้ถือหุ้นแทนคนต่างด้าว(นอมินี)นั้น
นายสุชาติ ดอกไม้เพ็ง ในฐานะโฆษกกรมที่ดิน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทยได้ส่งหนังสือด่วนที่สุด ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อเห็นควรซ้อมความเข้าใจและวางมาตรการเพิ่มเติม เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ถือปฎิบัติ โดยได้เพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบการถือครองที่ดินแทนคนต่างด้าว ซึ่งมาตรการที่เพิ่มเข้ามา คือ ในข้อ 5 ที่ระบุในหนังสือว่า กรณีนิติบุคคลต่างด้าวเช่าที่ดินหรือถือสิทธิประเภทอื่นในระยะยาว ให้สอบสวนว่ามีวัตถุประสงค์ในการเช่าที่ดิน เพื่อนำไปประกอบ กิจการใด เป็นการถือครองที่ดินแทนคนต่างด้าวหรือขัดต่อพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวพ.ศ. 2542 หรือไม่
" เดิมกฎหมายจะเน้นไปเรื่องของการครอบครองที่ดิน แต่เราไม่มีการเน้นเรื่องการเช่าที่ดินระยะยาว การหยิบยกและเพิ่มเติมในเนื้อหาส่วนนี้ น่าจะเป็นผลดีในการตรวจสอบ เพราะการเช่าระยะยาว อาจจะหมายความว่า เจ้าของที่ดินได้ขายให้ต่างประเทศไปแล้ว โดยมีคนไทยถือแทนเช่น เช่า 30 ปี บวกอีก 30 ปี หรือยิ่งถ้าในท้ายสัญญาการเช่า มีการระบุสิทธิการเช่าตกเป็นมรดกด้วยแล้ว เราจะตีความว่า เป็นการยกสิทธิให้คนต่างด้าว ซึ่งตรงนี้เราต้องตรวจสอบ เพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยง "นายสุชาติกล่าว
ทั้งนี้ ในเรื่องของกฎหมายการเช่าในไทยแล้ว จะมีทั้ง กฎหมายแพ่ง ที่กำหนดห้ามถือครองเกิน 30 ปี สิทธิการเช่าไม่สามารถจำนองได้ และพ.ร.บ.การเช่าที่ดินและอุตสาหกรรม(พาณิชย์กรรม) พ.ศ. 2542 ส่วนนี้สามารถถือครองเกิน 30 ปี และสามารถจจำนองได้
นายสุชาติกล่าวยอมรับว่า แม้ทางราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พยายามตรวจสอบการถือครองที่ดินแทนคนต่างด้าว แต่สภาพความเป็นจริงในปัจจุบันตรวจสอบยาก เพราะเวลานี้ "นักธุรกิจที่เป็นนอมินีให้คนต่างชาติมีเงิน และมีความฉลาด แถมต่างชาติมีทนายที่ฉลาดเช่นกัน แต่ถึงกระนั้น หากสิ่งที่เราจะสงสัยก็คือ ถ้าคนต่างด้าวเป็นผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อแทนบริษัท คนต่างด้าวเป็นผู้ริเริ่มก่อการตั้งบริษัท คนต่างด้าวผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิมีสิทธิออกเสียงมากกว่าผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยรายใหญ่มีอาชีพซึ่งมิใช่เป็นอาชีพการลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจโดยตรง เราต้องสงสัยไว้ก่อนทันที "โฆษกกรมที่ดินกล่าว
อนึ่ง ในช่วงที่ผ่านมา ที่ดินตามแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองไทย ไม่ว่า ภูเก็ต กระบี่ พังงา หัวหิน และเกาะต่างๆ ล้วนแล้วแต่มีโครงการที่พักอาศัยและอยู่อาศัยระดับหรูเกิดขึ้นอย่างล้นหลาม ซึ่งจะพบว่า มีคนต่างชาติเข้ามาครอบครองที่ดิน หรือ บางครั้ง อาจจะครองครองที่ดินด้วยวิธีให้บริษัทที่ประกอบการธุรกิจอื่นๆ เข้ามาถือแทน เป็นต้น
***ปีงบ'52เป้ารายได้5หมื่นล้าน
นายสุชาติ กล่าวถึงแนวโน้มการจัดเก็บรายได้ของกรมที่ดินในปีงบประมาณ 2551 (ต.ค.50-ก.ย.51) ว่า น่าจะได้ดำเนินการได้ตามเป้าที่วางไว้ที่ 50,000 ล้านบาท (เทียบปีงบประมาณ 50 มีรายได้ 51,123.28 ล้านบาท) โดยผลการจัดเก็บรายได้ช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 51 (ต.ค.50-พ.ค. 51) มีประชาชนมาทำธุรกรรมกับกรมที่ดิน 3,642,969 ราย มีรายได้ 33,484.63 ล้านบาท ขณะที่เป้าหมายรายได้ในปีงบ'52 (ต.ค..51-ก.ย.52) จะกำหนดไว้ที่ 50,000 ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ อนึ่ง ในบางเดือนตัวเลขของประชาชนที่เข้ามาทำธุรกรรมกับกรมที่ดินจะสูงขึ้นกว่าปกติ และมีรายได้จัดเก็บสูงตามไปด้วย โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกของปี 2552 เนื่องจากจะใกล้สิ้นสุดมาตรการกระตุ้นอสังหาฯของรัฐบาล และคาดว่า ผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย จะพยายามเร่งยอดขาย จัดกิจกรรมทางการตลาด เพื่อให้ได้สิทธิ์ตามมาตรการดังกล่าว
ตามที่กระทรวงมหาดไทย ได้พยายามวางแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการขอได้มาซึ่งที่ดินของบริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่จดทะเบียนแล้ว (ยกเว้นบริษัทมหาชนจำกัด หรือนิติบุคคล ที่ได้รับอนุญาตให้ได้มาซึ่งที่ดินตามกฎหมายอื่น) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และมีคนต่างด้าวถือหุ้น หรือเป็นกรรมการ หรือมีเหตุอันควรที่ทำให้เชื่อว่า"ให้คนไทย"เป็นผู้ถือหุ้นแทนคนต่างด้าว(นอมินี)นั้น
นายสุชาติ ดอกไม้เพ็ง ในฐานะโฆษกกรมที่ดิน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทยได้ส่งหนังสือด่วนที่สุด ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อเห็นควรซ้อมความเข้าใจและวางมาตรการเพิ่มเติม เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ถือปฎิบัติ โดยได้เพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบการถือครองที่ดินแทนคนต่างด้าว ซึ่งมาตรการที่เพิ่มเข้ามา คือ ในข้อ 5 ที่ระบุในหนังสือว่า กรณีนิติบุคคลต่างด้าวเช่าที่ดินหรือถือสิทธิประเภทอื่นในระยะยาว ให้สอบสวนว่ามีวัตถุประสงค์ในการเช่าที่ดิน เพื่อนำไปประกอบ กิจการใด เป็นการถือครองที่ดินแทนคนต่างด้าวหรือขัดต่อพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวพ.ศ. 2542 หรือไม่
" เดิมกฎหมายจะเน้นไปเรื่องของการครอบครองที่ดิน แต่เราไม่มีการเน้นเรื่องการเช่าที่ดินระยะยาว การหยิบยกและเพิ่มเติมในเนื้อหาส่วนนี้ น่าจะเป็นผลดีในการตรวจสอบ เพราะการเช่าระยะยาว อาจจะหมายความว่า เจ้าของที่ดินได้ขายให้ต่างประเทศไปแล้ว โดยมีคนไทยถือแทนเช่น เช่า 30 ปี บวกอีก 30 ปี หรือยิ่งถ้าในท้ายสัญญาการเช่า มีการระบุสิทธิการเช่าตกเป็นมรดกด้วยแล้ว เราจะตีความว่า เป็นการยกสิทธิให้คนต่างด้าว ซึ่งตรงนี้เราต้องตรวจสอบ เพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยง "นายสุชาติกล่าว
ทั้งนี้ ในเรื่องของกฎหมายการเช่าในไทยแล้ว จะมีทั้ง กฎหมายแพ่ง ที่กำหนดห้ามถือครองเกิน 30 ปี สิทธิการเช่าไม่สามารถจำนองได้ และพ.ร.บ.การเช่าที่ดินและอุตสาหกรรม(พาณิชย์กรรม) พ.ศ. 2542 ส่วนนี้สามารถถือครองเกิน 30 ปี และสามารถจจำนองได้
นายสุชาติกล่าวยอมรับว่า แม้ทางราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พยายามตรวจสอบการถือครองที่ดินแทนคนต่างด้าว แต่สภาพความเป็นจริงในปัจจุบันตรวจสอบยาก เพราะเวลานี้ "นักธุรกิจที่เป็นนอมินีให้คนต่างชาติมีเงิน และมีความฉลาด แถมต่างชาติมีทนายที่ฉลาดเช่นกัน แต่ถึงกระนั้น หากสิ่งที่เราจะสงสัยก็คือ ถ้าคนต่างด้าวเป็นผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อแทนบริษัท คนต่างด้าวเป็นผู้ริเริ่มก่อการตั้งบริษัท คนต่างด้าวผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิมีสิทธิออกเสียงมากกว่าผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยรายใหญ่มีอาชีพซึ่งมิใช่เป็นอาชีพการลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจโดยตรง เราต้องสงสัยไว้ก่อนทันที "โฆษกกรมที่ดินกล่าว
อนึ่ง ในช่วงที่ผ่านมา ที่ดินตามแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองไทย ไม่ว่า ภูเก็ต กระบี่ พังงา หัวหิน และเกาะต่างๆ ล้วนแล้วแต่มีโครงการที่พักอาศัยและอยู่อาศัยระดับหรูเกิดขึ้นอย่างล้นหลาม ซึ่งจะพบว่า มีคนต่างชาติเข้ามาครอบครองที่ดิน หรือ บางครั้ง อาจจะครองครองที่ดินด้วยวิธีให้บริษัทที่ประกอบการธุรกิจอื่นๆ เข้ามาถือแทน เป็นต้น
***ปีงบ'52เป้ารายได้5หมื่นล้าน
นายสุชาติ กล่าวถึงแนวโน้มการจัดเก็บรายได้ของกรมที่ดินในปีงบประมาณ 2551 (ต.ค.50-ก.ย.51) ว่า น่าจะได้ดำเนินการได้ตามเป้าที่วางไว้ที่ 50,000 ล้านบาท (เทียบปีงบประมาณ 50 มีรายได้ 51,123.28 ล้านบาท) โดยผลการจัดเก็บรายได้ช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 51 (ต.ค.50-พ.ค. 51) มีประชาชนมาทำธุรกรรมกับกรมที่ดิน 3,642,969 ราย มีรายได้ 33,484.63 ล้านบาท ขณะที่เป้าหมายรายได้ในปีงบ'52 (ต.ค..51-ก.ย.52) จะกำหนดไว้ที่ 50,000 ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ อนึ่ง ในบางเดือนตัวเลขของประชาชนที่เข้ามาทำธุรกรรมกับกรมที่ดินจะสูงขึ้นกว่าปกติ และมีรายได้จัดเก็บสูงตามไปด้วย โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกของปี 2552 เนื่องจากจะใกล้สิ้นสุดมาตรการกระตุ้นอสังหาฯของรัฐบาล และคาดว่า ผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย จะพยายามเร่งยอดขาย จัดกิจกรรมทางการตลาด เพื่อให้ได้สิทธิ์ตามมาตรการดังกล่าว
