ประธานตลาดหุ้นไทย เผยผู้ก่อตั้งออกฟอร์ด ไฟแนนซ์ “รุเบน ลี” มองตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นใช้เวลา 2-4 ปี แม้ตลาดหุ้นไทยเกือบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาเด้ง 100 จุด หลังต่างชาติชะลอขายหุ้น บวกกันนักลงทุนสถาบันทยอยซื้อ พร้อมประกาศคงเดินหน้าแปรรูปตลาดหุ้นไทย และรับจดทะเบียนไทยเบฟฯ หากสำนักงานก.ล.ต.ไฟเขียว
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึง กรณีที่ ได้เชิญนายรูเบน ลี ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออกฟอร์ด ไฟแนนซ์ กรุ๊ป มาให้มุมมองต่อตลาดทุนไทย ว่า นายรูเบน ลี คาดการณ์ตลาดหุ้นทั่วโลกจะฟื้นตัวและเข้าสู่ภาวะปกติต้องใช้เวลาประมาณ 2-4 ปี หลังจากได้รับผลกระทบจากวิกฤติการเงินสหรัฐฯ ทำให้รัฐบาลของประเทศต่างๆ ทั่วโลกเร่งออกมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้ภาวะเศรษฐกิจไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรง และจะมีส่วนช่วยให้เกิดความเชื่อมั่น ซึ่งความเชื่อมั่นถือเป็นสิ่งสำคัญต่อภาวะตลาดทุน
ทั้งนี้ ภาวะการซื้อขายในช่วง1-2สัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าแรงเทขายจากนักลงทุนต่างชาติเป็นไปในทิศทางที่ลดลง ส่งผลให้ดัชนีราคาหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 100 จุด อย่างไรก็ตาม การปรับตัวลดลงของดัชนีในช่วงที่ผ่านมานั้น ประเมินว่าเกิดจากแรงเทขายของกองทุนประกันความเสี่ยง (เฮดจ์ฟันด์) เป็นหลัก แต่จากการที่มีกลุ่มนักลงทุนสถาบันต้องการลงทุนระยะยาว เห็นช่องทางการลงทุนในหลักทรัพย์ที่ดีมีราคาถูกเข้ามาลงทุน จึงมี่ส่วนผลักดันตลาดหุ้นไทยในอีกทางหนึ่ง
สำหรับภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกในขณะนี้จะไม่ดีนัก เนื่องจากได้รับผลจากวิกฤตการเงินโลก แต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยืนยันว่า จะยังคงเดินหน้าสานต่อแผนการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้หากกระบวนการดังกล่าวผ่านการลงมติความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสามารถแปรสภาพเป็นบริษัทจำกัดได้ตามกระบวนการและขั้นตอนที่กำหนดไว้
อย่างไรก็ตาม การแปรสภาพตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะต้องใช้ในการแปรรูปประมาณ 2-3ปี ซึ่งคงจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมพอดีต่อสถานการณ์ เนื่องจากสภาพตลาดและเศรษฐกิจโดยรวมของโลกน่าจะเริ่มฟื้นตัวในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ดังนั้นตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงจะใช้เวลาระหว่างนี้ดำเนินโครงการอื่นๆ เช่น เพิ่มคุณค่าให้ตลาดหลักทรัพย์ในด้านต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อน
ส่วนความคืบหน้าการพิจารณาบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย นายปกรณ์ กล่าวว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อมูลบริษัท ซึ่งจะครบกำหนด 30 วันในวันที่ 21 พฤศจิกายนนี้ หากระหว่างการตรวจสอบไม่มีการทักท้วงเกิดขึ้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถรับบริษัทไทยเบฟฯเข้าจดทะเบียนได้ตามปกติ โดยการเข้าจดทะเบียนของบริษัทไทยเบฟฯนั้น จะช่วยให้มูลค่าทางการตลาด (มาร์เก็ตแคป) ของตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นประมาณ 1.3 แสนล้านบาท
“ตลาดหลักทรัพย์ฯ เข้าใจการคัดค้านขององค์กรเอกชนที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับการ ไม่ต้องการให้เยาวชนของชาติบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดังนั้นตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงจะสนับสนุนการรณรงค์เพื่อให้เยาวชนดื่มน้อยลง รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งที่จะต่อต้านการดื่มแอลกอฮอล์ด้วย”
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึง กรณีที่ ได้เชิญนายรูเบน ลี ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออกฟอร์ด ไฟแนนซ์ กรุ๊ป มาให้มุมมองต่อตลาดทุนไทย ว่า นายรูเบน ลี คาดการณ์ตลาดหุ้นทั่วโลกจะฟื้นตัวและเข้าสู่ภาวะปกติต้องใช้เวลาประมาณ 2-4 ปี หลังจากได้รับผลกระทบจากวิกฤติการเงินสหรัฐฯ ทำให้รัฐบาลของประเทศต่างๆ ทั่วโลกเร่งออกมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้ภาวะเศรษฐกิจไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรง และจะมีส่วนช่วยให้เกิดความเชื่อมั่น ซึ่งความเชื่อมั่นถือเป็นสิ่งสำคัญต่อภาวะตลาดทุน
ทั้งนี้ ภาวะการซื้อขายในช่วง1-2สัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าแรงเทขายจากนักลงทุนต่างชาติเป็นไปในทิศทางที่ลดลง ส่งผลให้ดัชนีราคาหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 100 จุด อย่างไรก็ตาม การปรับตัวลดลงของดัชนีในช่วงที่ผ่านมานั้น ประเมินว่าเกิดจากแรงเทขายของกองทุนประกันความเสี่ยง (เฮดจ์ฟันด์) เป็นหลัก แต่จากการที่มีกลุ่มนักลงทุนสถาบันต้องการลงทุนระยะยาว เห็นช่องทางการลงทุนในหลักทรัพย์ที่ดีมีราคาถูกเข้ามาลงทุน จึงมี่ส่วนผลักดันตลาดหุ้นไทยในอีกทางหนึ่ง
สำหรับภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกในขณะนี้จะไม่ดีนัก เนื่องจากได้รับผลจากวิกฤตการเงินโลก แต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยืนยันว่า จะยังคงเดินหน้าสานต่อแผนการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้หากกระบวนการดังกล่าวผ่านการลงมติความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสามารถแปรสภาพเป็นบริษัทจำกัดได้ตามกระบวนการและขั้นตอนที่กำหนดไว้
อย่างไรก็ตาม การแปรสภาพตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะต้องใช้ในการแปรรูปประมาณ 2-3ปี ซึ่งคงจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมพอดีต่อสถานการณ์ เนื่องจากสภาพตลาดและเศรษฐกิจโดยรวมของโลกน่าจะเริ่มฟื้นตัวในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ดังนั้นตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงจะใช้เวลาระหว่างนี้ดำเนินโครงการอื่นๆ เช่น เพิ่มคุณค่าให้ตลาดหลักทรัพย์ในด้านต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อน
ส่วนความคืบหน้าการพิจารณาบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย นายปกรณ์ กล่าวว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อมูลบริษัท ซึ่งจะครบกำหนด 30 วันในวันที่ 21 พฤศจิกายนนี้ หากระหว่างการตรวจสอบไม่มีการทักท้วงเกิดขึ้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถรับบริษัทไทยเบฟฯเข้าจดทะเบียนได้ตามปกติ โดยการเข้าจดทะเบียนของบริษัทไทยเบฟฯนั้น จะช่วยให้มูลค่าทางการตลาด (มาร์เก็ตแคป) ของตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นประมาณ 1.3 แสนล้านบาท
“ตลาดหลักทรัพย์ฯ เข้าใจการคัดค้านขององค์กรเอกชนที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับการ ไม่ต้องการให้เยาวชนของชาติบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดังนั้นตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงจะสนับสนุนการรณรงค์เพื่อให้เยาวชนดื่มน้อยลง รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งที่จะต่อต้านการดื่มแอลกอฮอล์ด้วย”