"เจมาร์ท" เลื่อนขายหุ้นไอพีโอปี 52 จากแผนเดิมเข้าระดมทุน พ.ย. นี้ เหตุภาวะตลาดยังไม่นิ่ง หวั่นกระทบการซื้อขาย "อดิศักดิ์" ชี้เศรษฐกิจชะลอยังไม่กระทบผลการดำเนินงาน มั่นใจกำไรสุทธิปีนี้ดีกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 66.5 ล้านบาท
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน)หรือ JMART เปิดเผยว่า บริษัทเลื่อนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นปี52 จากเดิมที่จะเข้าจดทะเบียนในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นไทยยังเอื้ออำนวย จากได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเข้าซื้ขายหุ้นของบริษัท
ทั้งนี้ การเลื่อนดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการชำระหนี้ของบริษัท จากที่บริษัทจะนำเงินจากการเสนอขายหุ้นครั้งนี้นำไปชำระหนี้ มูลค่า 500 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีฐานทางการเงินแข็งแกร่ง ซึ่งบริษัทจะเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 75 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์)หุ้นละ 1 บาท แบ่งเป็นเสนอขายต่อประชาชนทั่วไป 60 ล้านหุ้น อีก 7.5 ล้านหุ้น เสนอขายแก่กรรมการและพนักงานของบริษัท และอีก 7.5 ล้านหุ้น เสนอขายแก่ผู้มีอุป
การคุณ
"บริษัทเลื่อนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นปีหน้าแทน จากภาวะตลาดหุ้นที่ยังไม่นิ่ง ส่วนจะเข้าช่วงไหนนั้นยังไม่สามารถประเมินได้ เพราะต้องรอดูภาวะตลาด และจะต้องมีการหารือร่วมกับทางที่ปรึกษาทางการเงิน แต่สัดส่วนการเสนอขายหุ้นยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง"นายอดิศักดิ์ กล่าว
อนึ่ง ก่อนหน้านี้กำหนดเดิมที่ JMART กำหนดที่จะเปิดให้นักลงทุนเปิดจองซื้อหุ้นในวันที่ 8-9 กันยายนนี้ และเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯในวันที่ 16 กันยายน เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นไม่เอื้อ มูลค่าการซื้อขายเบาบาง จากความกังวลในเรื่องปัจจัยทางการเมือง รัฐบาลมีการประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พรก.ฉุกเฉิน) และเชื่อว่าคงจะไม่มีบริษัทไหนกล้าที่จะเข้าไปซื้อขายหุ้นในช่วงนี้
นายอดิศักดิ์ กล่าวว่า บริษัทคาดว่ากำไรปีนี้ของบริษัทจะสูงกว่าปี 50 ที่มีกำไรสุทธิ 66.5 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีการบริหารจัดการที่ดีและมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลาย ซึ่งปัญหาเศรษฐกิจชะลอนั้นยังไม่ส่งผลกระทบกับบริษัท แต่ในด้านรายได้รวมปีนี้บริษัทเตรียมที่จะมีการปรับประมาณการ แต่เชื่อว่าจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ที่มีรายได้ 6,600 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้ 2,825 ล้านบาท
อนึ่ง ก่อนหน้านี้นายเล็ก สิขรวิทย รองผู้อำนวยการฝ่ายวาณิชย์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า เบื้องต้นบริษัทประเมินว่า เจ มาร์ท จะเข้าจดทะเบียนประมาณเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งเชื่อว่าภาวะตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวดีขึ้นได้เหมาะกับการขายหุ้น จากการที่สถานการณ์แวดล้อมในประเทศไม่เอื้อ ซึ่งส่วนตัวเชื่อบริษัทที่เตรียมที่เข้าจดทะเบียนในช่วงนี้ก็จะมีการเลื่อนออกไป ไม่ใช่เฉพาะแต่บริษัท เจ มาร์ทเท่านั้น เพราะนักลงทุนชะลอการลงทุน เพื่อรอดูสถานการณ์ทางการเมือง
ทั้งนี้ JMART มีความพร้อมที่จะเข้าจดทะเบียน และจากการสำรวจความเห็นนักลงทุนรายใหญ่และนักลงทุนที่เป็นเครือข่ายของบล.เอเซีย พลัส พบว่ามีความสนใจที่จะจองซื้อหุ้น JMART จำนวนมาก ซึ่งการกำหนดราคาเสนอขายหุ้นนั้นบริษัทจะไม่มีการสำรวจความเห็นจากนักลงทุนสถาบัน (บุ๊กบิ้วดิ้ง) เพราะหุ้นที่เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป จำนวน 60 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละไม่เกิน 3 บาท ระดมทุนได้ประมาณ 100 ล้านบาท ส่วนอีก 15 ล้านหุ้น จะเสนอขายแก่กรรมการพนักงานและผู้มีอุปการคุณบริษัท
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน)หรือ JMART เปิดเผยว่า บริษัทเลื่อนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นปี52 จากเดิมที่จะเข้าจดทะเบียนในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นไทยยังเอื้ออำนวย จากได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเข้าซื้ขายหุ้นของบริษัท
ทั้งนี้ การเลื่อนดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการชำระหนี้ของบริษัท จากที่บริษัทจะนำเงินจากการเสนอขายหุ้นครั้งนี้นำไปชำระหนี้ มูลค่า 500 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีฐานทางการเงินแข็งแกร่ง ซึ่งบริษัทจะเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 75 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์)หุ้นละ 1 บาท แบ่งเป็นเสนอขายต่อประชาชนทั่วไป 60 ล้านหุ้น อีก 7.5 ล้านหุ้น เสนอขายแก่กรรมการและพนักงานของบริษัท และอีก 7.5 ล้านหุ้น เสนอขายแก่ผู้มีอุป
การคุณ
"บริษัทเลื่อนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นปีหน้าแทน จากภาวะตลาดหุ้นที่ยังไม่นิ่ง ส่วนจะเข้าช่วงไหนนั้นยังไม่สามารถประเมินได้ เพราะต้องรอดูภาวะตลาด และจะต้องมีการหารือร่วมกับทางที่ปรึกษาทางการเงิน แต่สัดส่วนการเสนอขายหุ้นยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง"นายอดิศักดิ์ กล่าว
อนึ่ง ก่อนหน้านี้กำหนดเดิมที่ JMART กำหนดที่จะเปิดให้นักลงทุนเปิดจองซื้อหุ้นในวันที่ 8-9 กันยายนนี้ และเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯในวันที่ 16 กันยายน เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นไม่เอื้อ มูลค่าการซื้อขายเบาบาง จากความกังวลในเรื่องปัจจัยทางการเมือง รัฐบาลมีการประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พรก.ฉุกเฉิน) และเชื่อว่าคงจะไม่มีบริษัทไหนกล้าที่จะเข้าไปซื้อขายหุ้นในช่วงนี้
นายอดิศักดิ์ กล่าวว่า บริษัทคาดว่ากำไรปีนี้ของบริษัทจะสูงกว่าปี 50 ที่มีกำไรสุทธิ 66.5 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีการบริหารจัดการที่ดีและมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลาย ซึ่งปัญหาเศรษฐกิจชะลอนั้นยังไม่ส่งผลกระทบกับบริษัท แต่ในด้านรายได้รวมปีนี้บริษัทเตรียมที่จะมีการปรับประมาณการ แต่เชื่อว่าจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ที่มีรายได้ 6,600 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้ 2,825 ล้านบาท
อนึ่ง ก่อนหน้านี้นายเล็ก สิขรวิทย รองผู้อำนวยการฝ่ายวาณิชย์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า เบื้องต้นบริษัทประเมินว่า เจ มาร์ท จะเข้าจดทะเบียนประมาณเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งเชื่อว่าภาวะตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวดีขึ้นได้เหมาะกับการขายหุ้น จากการที่สถานการณ์แวดล้อมในประเทศไม่เอื้อ ซึ่งส่วนตัวเชื่อบริษัทที่เตรียมที่เข้าจดทะเบียนในช่วงนี้ก็จะมีการเลื่อนออกไป ไม่ใช่เฉพาะแต่บริษัท เจ มาร์ทเท่านั้น เพราะนักลงทุนชะลอการลงทุน เพื่อรอดูสถานการณ์ทางการเมือง
ทั้งนี้ JMART มีความพร้อมที่จะเข้าจดทะเบียน และจากการสำรวจความเห็นนักลงทุนรายใหญ่และนักลงทุนที่เป็นเครือข่ายของบล.เอเซีย พลัส พบว่ามีความสนใจที่จะจองซื้อหุ้น JMART จำนวนมาก ซึ่งการกำหนดราคาเสนอขายหุ้นนั้นบริษัทจะไม่มีการสำรวจความเห็นจากนักลงทุนสถาบัน (บุ๊กบิ้วดิ้ง) เพราะหุ้นที่เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป จำนวน 60 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละไม่เกิน 3 บาท ระดมทุนได้ประมาณ 100 ล้านบาท ส่วนอีก 15 ล้านหุ้น จะเสนอขายแก่กรรมการพนักงานและผู้มีอุปการคุณบริษัท