xs
xsm
sm
md
lg

กรุงไทยจับตาสินเชื่อเอสเอ็มอี ส่อแววทรุดดันเอ็นพีแอลเพิ่ม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แบงก์กรุงไทยยืนเป้าสินเชื่อทั้งปี 6-7%แม้ความต้องการสินเชื่อครึ่งปีหลังมีไม่สูงมากนัก ชี้ลูกค้าเอสเอ็มอีเริ่มส่งสัญญาณไม่ดี พร้อมตั้งเป้าเงินฝากสู้เงินเฟ้อ 4 วันระดมเงินได้ 10,000 ล้านบาท

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB เปิดเผยว่า ธนาคารยังคงเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อไว้ที่ 6-7% หรือเป็นเม็ดเงินสุทธิประมาณ 60,000-70,000 ล้านบาท โดยครึ่งปีธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อสุทธิได้แล้ว 80,000 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ในช่วงปลายปีจะมีการคืนเงินกู้เข้ามา อีกทั้งมองว่าความต้องการสินเชื่อจะมีไม่สูงนัก ทำธนาคารยืนยันเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อไว้เท่าเดิม

"เป้าหมายสินเชื่อได้มีการทบทวนกันแล้วก็ยังยืนเป้าหมายไว้เท่าเดิม โดยครึ่งปีปล่อยสินเชื่อได้เกินกว่าเป้าแล้ว ส่วนสินเชื่อส่วนใหญ่จะเป็นระยะสั้นครึ่งต่อครึ่ง ที่ปล่อยไปเป็นลูกค้าข้าราชการ 20% และลูกค้าเอกชน 80% สำหรับสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากตอนนี้อยู่ที่กว่า 90% ก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อย และไม่ได้ทำให้เงินตรึงเพราะมีส่วนที่เป็นตั๋วเงิน (B/E) ด้วย"

สำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ครึ่งปีลดลง เนื่องจากธนาคารมีการแก้หนี้ได้อย่างต่อเนื่อง โดยยังไม่ได้มีการขายหนี้ออกไปแต่อย่างใด ส่วนแนวโน้มครึ่งปีหลังนั้น ขณะนี้ธนาคารได้เริ่มเห็นสัญญาณการชำระหนี้ล่าช้า การขอเลื่อนหนี้ของลูกค้ารายเล็กบ้างแล้ว โดยส่วนของสินเชื่อบุคคลนั้นยังมีไม่มากเนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มข้าราชการ แต่กลุ่มที่เริ่มส่งสัญญาณไม่ดีคือ กลุ่มของลูกค้าขนาดกลางและย่อมหรือเอสเอ็มอี ซึ่งธนาคารก็จะให้หน่วยงานเฉพาะกิจซึ่งได้มีการตั้งขึ้นมาดูแลตั้งแต่ปีที่แล้ว

ส่วนการเปิดผลิตภัณฑ์ เงินฝากสู้เงินเฟ้อ ซึ่งเป็นเงินฝากประจำ 3 เดือน ให้อัตราดอกเบี้ย 6% นั้นจะทำให้ต้นทุนเงินของธนาคารเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และตั้งเป้าหมายว่าการเปิดให้บริการดังกล่าวในงาน มหกรรมมั่นใจไทยแลนด์ ดีแน่ ถูกแน่ เพื่อคนไทย เป็นเวลา 4 วันนั้นจะระดมเงินฝากได้ 10,000 ล้านบาท

นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบปีนี้น่าจะขยายตัวอยู่ที่ประมาณ 5-6% เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น และราคาวัตถุดิบมีราคาที่สูงขึ้น ทำให้มีการขอสินเชื่อโดยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะเป็นสินเชื่อหมุนเวียนระยะสั้น ส่วนสินเชื่อเพื่อการลงทุนนั้นจะต้องดูว่าจะเพิ่มมากขึ้นหรือไม่ เนื่องจากสินเชื่อในส่วนนี้จะมีผลต่อเศรษฐกิจรวม และหากไม่มีการลงทุนก็อาจจะส่งผลกระทบเศรษฐกิจในอนาคตได้ โดยการลงทุนในช่วงต้นปีถือว่าดูดีแต่ตอนนี้เริ่มมีการชะลอตัวลง
กำลังโหลดความคิดเห็น