xs
xsm
sm
md
lg

กกร.ดับเครื่องชนแบงก์ชาติ 3 บิ๊ก ออกโรงค้านขึ้นดอกเบี้ย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


3 บิ๊ก กกร.ส่งสัญญาณค้านแบงก์ชาติ แก้ปัญหาเงินเฟ้อ โดยปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย หวั่นกระทบความเชื่อมั่นการลงทุน เพราะผู้ประกอบการจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น พร้อมเสนอเงื่อนไขใหม่ ยื่นข้อต่อรองคลัง ต่ออายุโครงการเงินกู้ ดบ.ต่ำ ไปอีก 1-2 ปี

วันนี้ (7 ก.ค.) นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวแสดงความเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไปอีก 6 เดือน เนื่องจากขณะนี้การลงทุนและการบริโภคยังอยู่ในภาวะชะลอตัว หากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็จะยิ่งเป็นการซ้ำเติมให้เกิดผลกระทบมากขึ้น

โดยวันนี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย ส.อ.ท. สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ได้มีการหารือถึงภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมถึงเรื่องปัญหาอัตราเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก โดยภาคเอกชนมีความเป็นห่วงเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่ส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในการลงทุนของผู้ประกอบการได้

“แบงก์ชาติควรชะลอการปรับอัตราดอกเบี้ยออกไปอีก 6 เดือน เนื่องจากขณะนี้การบริโภคและการลงทุนยังคงชะลอตัว ซึ่งจากการสอบถามผู้ประกอบการต่างๆ ก็ยังไม่มีความมั่นใจที่จะลงทุนเพิ่ม หากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้จะยิ่งเป็นการซ้ำเติมให้ผู้ประกอบการหมดความเชื่อมั่นลง และมีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ”

นายสันติ กล่าวว่า ธปท.ควรรอดูผลของนโยบายที่รัฐบาลได้ประกาศออกมาก่อนว่าจะสามารถช่วยแก้ปัญหาอัตราเงินเฟ้อได้หรือไม่ จึงค่อยพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นต่อไป

ด้าน นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะใช้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการแก้ไขปัญหาอัตราเงินเฟ้อเพียงมาตรการเดียว แต่รัฐบาลควรมีมาตรการที่หลากหลายมาสนับสนุน เช่น การปล่อยให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้ต้นทุนนำเข้าลดลง และควรมีมาตรการประหยัดพลังงานเพิ่มเติม

ขณะเดียวกัน นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ เพราะจะทำให้ผู้ประกอบธุรกิจมีต้นทุนเพิ่มขึ้น ทำให้การประกอบธุรกิจชะงักงันได้

ล่าสุด มีรายงานข่าวว่า ที่ประชุม กกร.มีมติเห็นควรให้เสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณาโครงการสนับสนุนเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำให้กับผู้ประกอบการเฉพาะกลุ่มในวงเงินที่รัฐบาลได้อนุมัติไว้เดิม อาทิ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และผู้ประกอบการในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กว่า 39,000 ล้านบาท ให้สามารถต่ออายุโครงการได้อีก 1-2 ปี หลังจากกฎหมายธนาคารแห่งประเทศไทยมีผลบังคับใช้และไม่สามารถนำวงเงินดังกล่าวมาใช้ได้

นอกจากนี้ ประธานสมาคมธนาคารไทย ยังกล่าวอีกว่า วงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำที่รัฐบาลได้เคยอนุมัติไว้เดิมมีจำนวนกว่า 84,000 ล้านบาท ซึ่งทางภาคเอกชนได้ขอกู้ไปแล้วเพียง 56,000 ล้านบาท เท่านั้น
กำลังโหลดความคิดเห็น