นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้แจงกรณีที่มีผู้บริหารของ ธปท. ออกมาคาดการณ์ถึงอัตราเงินเฟ้อว่า อาจจะเป็นตัวเลข 2 หลัก หลังจากอัตราเงินเฟ้อเดือนที่ผ่านมาปรับสูงขึ้นกว่า 7 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งข่าวนี้ได้สร้างความแตกตื่นให้กับนักลงทุนที่จับตามองตัวเลขเงินเฟ้อ ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมาก โดยผู้ว่าฯ ธปท.เป็นห่วงว่าจะเกิดความตื่นตระหนกจากการคาดการณ์ดังกล่าว จึงออกมายืนยันข้อเท็จจริงว่า การคาดการณ์ของ ธปท.ในช่วงที่ผ่านมานั้น ไม่ได้หมายถึงตัวเลขเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีที่ ธปท.คาดไว้ แต่เป็นเงินเฟ้อที่อาจเกิดขึ้นเป็นบางเดือน ซึ่งจะถึง 2 หลักหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้นมากน้อยเพียงใด ขณะนี้ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้ว่าราคาน้ำมันจะขึ้นไปถึงเท่าไหร่
อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อในระดับที่เป็นอยู่ขณะนี้ ผู้ว่าฯ ธปท. ยืนยันว่า ยังสามารถดูแลได้ และยังอยู่ในกรอบที่ควบคุมได้ หากวันใดเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นจนเกินกว่าระดับที่คาดการณ์ไว้ และอาจจะมีความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจมากแล้ว ธปท.ยืนยันว่า สามารถใช้นโยบายการเงิน คือ อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ เพื่อลดความร้อนแรงของอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ ไม่ซ้ำเติมภาคธุรกิจ เพราะต้นทุนการทำธุรกิจของภาคเอกชนส่วนใหญ่เป็นต้นทุนด้านการขนส่ง ส่วนต้นทุนด้านดอกเบี้ยเงินกู้นั้นถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่มากที่จะเป็นภาระได้
ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าวอีกว่า ภาวะเศรษฐกิจขณะนี้ การขับเคลื่อนที่สำคัญจะต้องมาจากนโยบายภาคการคลัง คือ การอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปกระตุ้นให้เกิดการบริโภคและการใช้จ่ายภายในประเทศ ในส่วนของ ธปท.ที่ดูแลรับผิดชอบในเรื่องนโยบายการเงิน จะดูแลห่างๆ ในกรณีที่ ถ้าอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นมากจนอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง ธปท.อาจจะต้องมีมาตรการปรับอัตราดอกเบี้ย แต่ในส่วนของมาตรการอื่นๆ จะยกให้เป็นบทบาทสำคัญของการคลัง
อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อในระดับที่เป็นอยู่ขณะนี้ ผู้ว่าฯ ธปท. ยืนยันว่า ยังสามารถดูแลได้ และยังอยู่ในกรอบที่ควบคุมได้ หากวันใดเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นจนเกินกว่าระดับที่คาดการณ์ไว้ และอาจจะมีความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจมากแล้ว ธปท.ยืนยันว่า สามารถใช้นโยบายการเงิน คือ อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ เพื่อลดความร้อนแรงของอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ ไม่ซ้ำเติมภาคธุรกิจ เพราะต้นทุนการทำธุรกิจของภาคเอกชนส่วนใหญ่เป็นต้นทุนด้านการขนส่ง ส่วนต้นทุนด้านดอกเบี้ยเงินกู้นั้นถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่มากที่จะเป็นภาระได้
ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าวอีกว่า ภาวะเศรษฐกิจขณะนี้ การขับเคลื่อนที่สำคัญจะต้องมาจากนโยบายภาคการคลัง คือ การอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปกระตุ้นให้เกิดการบริโภคและการใช้จ่ายภายในประเทศ ในส่วนของ ธปท.ที่ดูแลรับผิดชอบในเรื่องนโยบายการเงิน จะดูแลห่างๆ ในกรณีที่ ถ้าอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นมากจนอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง ธปท.อาจจะต้องมีมาตรการปรับอัตราดอกเบี้ย แต่ในส่วนของมาตรการอื่นๆ จะยกให้เป็นบทบาทสำคัญของการคลัง
