ดีเซลคุณภาพต่ำรัสเซียทำ ครม.วงแตก “สมัคร” ยัวะถูกรุมยำแผนจัดซื้อกลางที่ประชุมฯ “พูนภิรมย์” หวั่นปัญหาซ้ำรอยยุคน้ำมันม่วง กระทบสิ่งแวดล้อม-เครื่องยนต์พัง ชี้ไม่ควรเปิดให้เอกชนแค่รายเดียว ขณะที่เอกสารจัดซื้อระบุชื่อบริษัทไซรัสฯ “เลิศชัย กำลังเอก” นั่งหัวเรือใหญ่
วันนี้ (16 ก.ค.) พล.ท.(หญิง) พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการจัดซื้อน้ำมันคุณภาพต่ำจากรัสเซีย โดยยอมรับว่า นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้ติดต่อเจรจากับบริษัท ไซรัส ปิโตรเลียม จำกัด ของประเทศรัสเซีย ซึ่งกระทรวงพลังงานจะต้องศึกษารายละเอียดว่า การดำเนินงานของบริษัทไซรัสฯ เป็นลักษณะใด เพราะที่ผ่านมาเคยมีการดำเนินการในลักษณะเช่นนี้มาแล้วในเรื่องการจัดหาน้ำมันม่วงมาช่วยเหลือเกษตรกร แต่มีข้อแตกต่างที่ว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้ตั้งเรื่องเสนอมา กระทรวงพลังงานก็พร้อมดำเนินให้ได้ แต่กรณีบริษัทไซรัสฯ เป็นบริษัทเอกชนจะมาจำหน่ายเองนั้น ต้องดูว่าขั้นตอนจะดำเนินการอย่างไรได้ หรือไม่
ก่อนหน้านี้มีรายงานที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ทักท้วงการนำเข้าน้ำมันดีเซลราคาถูกจากประเทศรัสเซีย ที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เสนอ โดยหวั่นกระทบต่อการใช้งานกับเครื่องยนต์ และการลักลอบ นำเข้า แต่สุดท้ายที่ประชุมเห็นชอบในหลักการ
โดยวานนี้ ครม.ได้รับหลักการ และอนุมัติให้ดำเนินการในหลักการ 15 วัน จะทำเอกสารให้หมด และใช้เวลา 45 วันในการเดินทางของน้ำมัน และจะมาใน 60 วัน หลังจากน้ำมันตัวอย่างตรวจสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว
รายงานข่าวยังระบุอีกว่า ที่ประชุม ครม.วานนี้ รัฐมนตรีส่วนใหญ่เห็นคล้อยตามว่า น่าจะมีการนำเข้าน้ำมันดีเซลจากประเทศรัสเซีย ขณะที่นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แสดงความเป็นห่วงว่า การนำเข้าน้ำมันดีเซลที่มีธาตุซัลเฟอร์ผสมอยู่มากเกินไป อาจกระทบต่อการใช้งานกับเครื่องยนต์ และที่ พล.ท.หญิงพูนภิรมย์ แสดงความเป็นห่วงในเรื่องกระบวนการนำเข้าที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในเรื่องของการลักลอบดำเนินการต่างๆ
ทั้งนี้ ที่ประชุมจึงมีความเห็นให้กระทรวงพลังงานทำการ ตรวจสอบคุณภาพน้ำมันในห้องปฏิบัติการว่า ได้คุณภาพหรือไม่ และหากยังมีการถกเถียงกันในเรื่องคุณภาพ อาจต้องถึงขั้นนำไปทดลองใช้กับเครื่องยนต์แต่ละประเภท เพื่อให้ชัดเจนว่าสามารถนำไปใช้ได้จริง
นอกจากนี้ กรมธุรกิจพลังงาน และกระทรวงพลังงาน ได้เสนอข้อคิดเห็นต่อที่ประชุม ครม.โดยระบุว่า การนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย 3 แสนตัน หรือประมาณ 360 ล้านลิตร หากจำหน่ายหมดใน 1 เดือน จะเท่ากับ 25% ของความต้องการใช้ในประเทศทั้งหมด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อโรงกลั่นน้ำมันในประเทศที่จะมีผลผลิตเหลือ ต้องนำไปส่งออกแทนโดยไม่มีตลาดรองรับ
นอกจากนี้ สิ่งที่ควรระวัง ได้แก่ คุณภาพน้ำมันแตกต่างจากมาตรฐานของประเทศ อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและกระทบต่อระบบเครื่องยนต์ในรถยนต์ของประชาชน ทั้งนี้ หากจะมีการนำเข้าจริงควรเป็นการส่งเสริมของรัฐที่เชิญชวนผู้ค้าน้ำมันเข้าร่วม ไม่ใช่ให้รายหนึ่งรายใดจำหน่ายเพียงผู้เดียว
ทั้งนี้ มีข้อมูลระบุว่าการเจรจาซื้อน้ำมันระหว่าง ไซรัสฯ และนายกรัฐมนตรี พบว่าบริษัทไซรัสฯ โดยนายเลิศชัย กำลังเอก ประธานบริษัท ได้ทำหนังสือ เลขที่ GPL-02/2551 ถึงนายสมัคร ขอนำเสนอหลักการการนำเข้าน้ำมันราคาพิเศษจากประเทศรัสเซีย โดยระบุที่อยู่ของบริษัทในท้ายหนังสือ คือ 405/10 ถนนมหาพฤฒาราม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
ทั้งนี้ เนื้อหาโดยสรุปของหนังสือดังกล่าว ระบุว่า บริษัทสนใจจัดหาน้ำมันราคาพิเศษจากรัสเซียให้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และในฐานะผู้นำเข้าน้ำมัน จึงแจ้งประเด็นปัญหาให้นายกฯทราบ เกี่ยวกับวิธีการนำน้ำมันไฮสปีด ดีเซล (บี 2) ของรัสเซีย คือ น้ำมันบี 2 ไม่สามารถนำเข้าปกติ เพราะมาตรฐานไม่ตรงสเปกของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หากจะนำเข้าต้องได้รับการอนุมัติจากกระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิต
นอกจากนี้ ผู้นำเข้าต้องได้รับการอนุญาตวางแทงเกอร์น้ำมันในน่านน้ำไทย โดยได้รับการอนุญาตจากกองทัพเรือ และตำรวจน้ำ
รายงานยังระบุถึงน้ำมัน บี 2 ของรัสเซีย มีความแตกต่างจากสเปคน้ำมันของ ปตท. เนื่องจากมีการกำหนดค่าการกลั่นและค่ากำมะถันที่แตกต่างกัน แต่น้ำมันชนิดนี้นิยมใช้ทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศแถบเอเชีย เหมาะกับเครื่องยนต์รอบช้า ได้แก่ รถบรรทุก รถโดยสาร และรถยนต์เพื่อการเกษตร จึงเหมาะสำหรับสหกรณ์การเกษตรทั่วประเทศ
หนังสือฉบับดังกล่าวยังได้แนะนำรูปแบบการซื้อขายว่า ควรให้สหกรณ์ทั่วประเทศรวมตัวจัดตั้งเป็นสหกรณ์ต่างๆ เช่น สหกรณ์รถโดยสาร รถบรรทุก การเกษตร การประมง และอื่นๆ โดยรวบรวมการสั่งซื้อเต็มรูปแบบ ตั๋วสัญญาใช้เงิน (พี/เอ็น) มายังบริษัทไซรัสฯ ซึ่งบริษัทได้จัดเตรียมสถานที่จัดจำหน่ายไว้แล้ว 200 จุดทั่วประเทศ โดยจะไม่จัดจำหน่ายค้าปลีกเพื่อประชาชนทั่วไปโดยเด็ดขาด และจะดำเนินการให้เสร็จเรียบร้อยภายในไม่เกิน 60 วัน หลังได้รับการอนุมัติจากกระทรวงที่เกี่ยวข้อง และได้รับคำสั่งซื้อจากสหกรณ์ หรือได้รับตั๋วพี/เอ็น เรียบร้อยแล้ว
สำหรับผลการตรวจสอบหนังสือฉบับดังกล่าว ปรากฎลายลักษณ์อักษรและลายเซ็นของนายสมัคร สั่งการถึงสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 14 ก.ค.2551 ให้ยกร่างหนังสือ เพื่อนำเรื่องนี้เข้าขอรับความเห็นชอบเบื้องต้นจาก ครม.เพื่อดำเนินการเรื่องอื่นๆ ให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดต่อไป
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา นายสมัคร เคยกล่าวยอมรับว่า โครงการจัดซื้อน้ำมันดีเซลจากประเทศรัสเซีย ที่มีราคาถูกกว่าลิตรละ 8 บาทนั้น ได้มีการเตรียมการไว้หมดแล้ว โดยน้ำมันนี้ใช้ในประเทศกัมพูชา เกาหลี จีน ลาว ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ซึ่งได้ส่งสเปกไปให้กระทรวงพลังงานตรวจสอบก่อนเข้า ครม.แต่มีผู้เชี่ยวชาญออกมาพูดว่า น้ำมันนี้เป็นสเปกที่ไทยเคยใช้อยู่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เหมือนน้ำมันม่วง น้ำมันเขียวที่ใช้กันในทะเล และบอกให้นำเข้ามาเพียงเดือนละ 75 ล้านลิตร โดยไม่ได้อ่านข้อเสนอ
นายสมัครกล่าวว่า น้ำมันที่ต้องใช้ค่ามาตรฐานอยู่ที่ 0.2-0.5 หากใช้แล้วจะต้องมีควันพิษและฝุ่นผงออกมา 15% แต่ที่ประเทศไทยกำลังใช้อยู่คือ 0.35 ซึ่งคนที่ออกมาพูดไม่เคยรู้เลยว่า น้ำมันที่จะซื้อเข้ามานั้น เอามาขายในชนบท 200 แห่ง เพื่อช่วยชนบท คนจะซื้อจะต้องมีการ์ดสหกรณ์มาซื้อ ประมาณ 1 ใน 5 จะได้อนุเคราะห์ราคา 8 บาท ซึ่งได้รับการอนุเคราะห์จากโรงงานลิตรละ 3 บาท 122 ล้านลิตรต่อเดือน เป็นเวลา 6 เดือน ส่วนการเก็บรักษานั้นจะมีการเอาแท็งก์ละแสนตันมาจอด และตามกฎหมายต้องมีสำรอง 5% คือจะเอามาสำรองไว้ 1 แสนต่อเดือน
“เขาได้เตรียมการไว้หมดแล้ว แต่ผู้เชี่ยวชาญยังไม่ฟังอีร้าค่าอีรม ผมละคันยิบๆ เปิดทุกช่อง เห็นคุยแหกปากแหกคอ สุดท้ายยังบอกว่า เราใช้อยู่เดือนละ 1,500 ล้านลิตร เอาเข้ามาจริง 300 ล้านลิตรคือ 20%” นายสมัครกล่าว