เอเจนซี่ฯระบุ 4 เมืองท่องเที่ยวแนวโน้มอสังหาฯเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ราคาค่อนข้างสูงกว่าในกรุงเทพฯหลายเท่าตัว ภูเก็ตราคาเฉลี่ย 22.4 ล้านบาท ขณะที่อสังหาฯตากอากาศในสมุยเหลือขายมากที่สุด 64% หรือ 1,426 หน่วย
นายวสันต์ คงจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด (AREA) กล่าวถึงสถานการณ์อสังหาฯตากอากาศในประเทศไทยว่า จากการสำรวจในพื้นที่ 4 บริเวณ ได้แก่ ภูเก็ต ,พัทยา ,สมุย และชะอำ-หัวหิน มีการพัฒนารีสอร์ทมากกว่าที่อยู่อาศัยที่ขายให้คนในพื้นที่เสียอีก แสดงว่าเป็นพื้นที่ที่จัดขึ้นเพื่อกิจกรรมการพัฒนารีสอร์ทโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นก็ที่พัทยา ที่มีมูลค่าการพัฒนาในส่วนที่เป็นที่อยู่อาศัยมากกว่า ทั้งนี้เป็นเพราะในพัทยา มีทั้งผู้ที่มาทำงานและกลุ่มผู้อยู่อาศัยมาแต่ก่อนที่ขยายครอบครัว และเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคเศรษฐกิจชายฝั่งทะเลตะวันออก จึงมีการพัฒนาด้านที่อยู่อาศัยมาก
สำหรับราคาขายของอสังหาฯตากอากาศที่เป็นในรูปแบบอาคารชุดตากอากาศ และบ้านพักตากอากาศ (วิลลา) นั้น พบว่า ราคาเฉลี่ยคือ 11.1 ล้านบาท สูงกว่าที่อยู่อาศัยทั่วไปในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งมีราคาเฉลี่ยเพียง 2.2 ล้านบาทเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ราคาอสังหาฯตากอากาศในจ.ภูเก็ต มีราคาเฉลี่ยสูงสุด คือ 22.4 ล้านบาท รองลงมาคือ สมุย 19.2 ล้านบาท บ้านพักตากอากาศในภูเก็ตและสมุยบางแห่งมีราคาหน่วยละนับร้อยล้านบาท ส่วนที่พัทยาราคาเฉลี่ยคือ 8.38 ล้านบาท และที่ราคาต่ำสุดก็คือ ชะอำ-หัวหิน ซึ่งมีราคาเฉลี่ยเพียง 5.64 ล้านบาท แต่ก็ยังสูงกว่าที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลถึงหนึ่งเท่าตัว
การที่อสังหาฯตากอากาศในพื้นที่ชะอำ-หัวหิน มีราคาต่ำสุดนั้น เชื่อว่า เป็นอสังหาฯที่ขายให้นักลงทุนหรือผู้ซื้อภายในประเทศไทยเป็นสำคัญ ส่วนที่ภูเก็ต และสมุยนั้น เป็นสินค้าที่เน้นขายให้ชาวต่างชาติมากกว่า
ในด้านการขายพบว่า อสังหาฯตากอากาศจำนวน 20,101 หน่วยนั้น มีผู้จองซื้อไปแล้ว 9,484 หน่วย หรือ 47% ของทั้งหมด โดยเหลืออยู่ 10,617 หน่วย ในขณะนี้ อาจกล่าวได้ว่าสมุยเป็นพื้นที่ที่ยังมีหน่วยขายเหลืออยู่มากที่สุดคือ 64% หรือ 1,426 หน่วยจากทั้งหมด 2,215 หน่วย แสดงว่าการขายอาจจะช้าในขณะนี้
นายวสันต์ คงจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด (AREA) กล่าวถึงสถานการณ์อสังหาฯตากอากาศในประเทศไทยว่า จากการสำรวจในพื้นที่ 4 บริเวณ ได้แก่ ภูเก็ต ,พัทยา ,สมุย และชะอำ-หัวหิน มีการพัฒนารีสอร์ทมากกว่าที่อยู่อาศัยที่ขายให้คนในพื้นที่เสียอีก แสดงว่าเป็นพื้นที่ที่จัดขึ้นเพื่อกิจกรรมการพัฒนารีสอร์ทโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นก็ที่พัทยา ที่มีมูลค่าการพัฒนาในส่วนที่เป็นที่อยู่อาศัยมากกว่า ทั้งนี้เป็นเพราะในพัทยา มีทั้งผู้ที่มาทำงานและกลุ่มผู้อยู่อาศัยมาแต่ก่อนที่ขยายครอบครัว และเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคเศรษฐกิจชายฝั่งทะเลตะวันออก จึงมีการพัฒนาด้านที่อยู่อาศัยมาก
สำหรับราคาขายของอสังหาฯตากอากาศที่เป็นในรูปแบบอาคารชุดตากอากาศ และบ้านพักตากอากาศ (วิลลา) นั้น พบว่า ราคาเฉลี่ยคือ 11.1 ล้านบาท สูงกว่าที่อยู่อาศัยทั่วไปในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งมีราคาเฉลี่ยเพียง 2.2 ล้านบาทเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ราคาอสังหาฯตากอากาศในจ.ภูเก็ต มีราคาเฉลี่ยสูงสุด คือ 22.4 ล้านบาท รองลงมาคือ สมุย 19.2 ล้านบาท บ้านพักตากอากาศในภูเก็ตและสมุยบางแห่งมีราคาหน่วยละนับร้อยล้านบาท ส่วนที่พัทยาราคาเฉลี่ยคือ 8.38 ล้านบาท และที่ราคาต่ำสุดก็คือ ชะอำ-หัวหิน ซึ่งมีราคาเฉลี่ยเพียง 5.64 ล้านบาท แต่ก็ยังสูงกว่าที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลถึงหนึ่งเท่าตัว
การที่อสังหาฯตากอากาศในพื้นที่ชะอำ-หัวหิน มีราคาต่ำสุดนั้น เชื่อว่า เป็นอสังหาฯที่ขายให้นักลงทุนหรือผู้ซื้อภายในประเทศไทยเป็นสำคัญ ส่วนที่ภูเก็ต และสมุยนั้น เป็นสินค้าที่เน้นขายให้ชาวต่างชาติมากกว่า
ในด้านการขายพบว่า อสังหาฯตากอากาศจำนวน 20,101 หน่วยนั้น มีผู้จองซื้อไปแล้ว 9,484 หน่วย หรือ 47% ของทั้งหมด โดยเหลืออยู่ 10,617 หน่วย ในขณะนี้ อาจกล่าวได้ว่าสมุยเป็นพื้นที่ที่ยังมีหน่วยขายเหลืออยู่มากที่สุดคือ 64% หรือ 1,426 หน่วยจากทั้งหมด 2,215 หน่วย แสดงว่าการขายอาจจะช้าในขณะนี้