ช่วงนี้ ผมขอถอดหมวกนักธุรกิจ แต่สวมหมวกฝ่ายวิชาการ ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย อดีตนักกิจกรรม นายกสโมสรนิสิต จุฬาฯ ปี 2527 ด้วยความรักและห่วงใยในบ้านเมืองจริงๆ ครับ แต่ไหนแต่ไรมา มีวีรชนมากมายในไทย และในโลก ที่ต่อสู้อำนาจอันยิ่งใหญ่ ด้วยกำลังที่น้อยกว่า แต่ที่ได้ชัยชนะ ก็เพราะอยู่ในทางธรรม พระเจ้าเบื้องบน ก็จะไม่ปล่อยให้ฝ่ายธรรมะ ปราชัยต่อฝ่ายอธรรมในทางพุทธศาสนา ซึ่งเราคุ้นเคยกัน มีหลักศีลห้า ข้อ 2 ว่า
"อทินนาทานา เวรมณีสิขาปทัง สมาทิยามิ" คือ "อย่าลักทรัพย์" แต่ละคนย่อมมีสมบัติของตน และสมควรที่จะดูแลรักษาของๆตน ไม่ให้ใครเอาไป หากสังคมไม่เคารพต่อสมบัติของกันและกัน ใครนึกจะเอาเปรียบ เอาประโยชน์ของประชาชน คนอื่นๆ หรือ ของส่วนรวมไปเป็นของตนเอง ก็จะทำให้เกิดความเดือดร้อนในทางคริสตศาสนา ก็มีหลักในบัญญัติ 10 ประการจากพระเจ้าว่า
**"จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า เพื่ออายุของเจ้าจะได้ยืนนานบนแผ่นดิน ซึ่งพระเจ้าของเจ้าประทานให้แก่เจ้า" "อย่าลักทรัพย์" "อย่าโลภครัวเรือนของเพื่อนบ้าน อย่าโลภภรรยาของเพื่อนบ้าน หรือทาสทาสีของเขา หรือโค ลาของเขา หรือสิ่งใดๆ ซึ่งเป็นของของเพื่อนบ้าน" **
ผมชอบและเชื่อในหลักธรรมทุกข้อนี้ ไม่มีพ่อแม่คู่ไหนที่สอนลูกให้ไปขโมยของคนอื่นมาเป็นของตัว คนเราส่วนใหญ่ พ่อแม่ก็สั่งสอนมาดี ไม่ควรที่ใครจะลักทรัพย์ โลภในสมบัติของคนอื่น เอาเปรียบคนอื่น ทุจริต ใช้อำนาจอันมิชอบ เอาประโยชน์ของประชาชน และส่วนรวมมาเป็นของตัว
ผมเป็นห่วงที่คนไม่น้อยกำลังเบื่อการเมือง เพราะเห็นนักการเมือง คิดเห็นแก่ตัว โกงได้โกงเอา จนภายหลัง หลายคนถึงกับอยากจะเชื่อว่า "ก็โกงเหมือนกันหมด" "โกงก็ได้ ขอให้ทำงานก็แล้วกัน" ผมว่าขนาดการ** "โกง" ไม่เป็นที่ยอมรับ ยังโกงกันมากขนาดนี้ ถ้า "การโกง" "เอาของคนอื่นมาเป็นของตัว" กลายเป็นสิ่งที่ยอมรับกัน ลูกหลานเราจะเป็นอย่างไร "การโกง" กันเช่นนั้น จะนำพาประเทศเข้าสู่วิกฤตอีกรอบหรือไม่ ?**
ผมสังเกตตามข่าวคราวมากมายว่า รัฐบาลหลายรัฐบาลในยุคก่อนวิกฤตก็เป็นเช่นนี้ "โกงได้โกงเอา" คอรัปชันทั้งแบบสามัญ คล้ายๆกัน คือกินอิฐ กินหิน กินทราย กินถนน กินวัว กินนม กินกล้ายาง กินซีทีเอ็กซ์ ฯลฯ และ คอรัปชันแบบ ขายอนาคต เช่น การให้อำนาจสัมปทานผูกขาด การจัดการให้เอกชนพรรคพวกบางราย ได้เปรียบในการทำธุรกิจเหนือกลุ่มอื่นๆ เอาประโยชน์จากองค์กรของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเป็นหมื่นเป็นแสนล้านบาท ตลอดจนการปล้นธนาคาร เช่น กรณีธนาคารบีบีซีในอดีต **นำโดยกลุ่มนักการเมืองบางคน และบ้างถึงกับใช้ข้อมูลภายในเรื่องนโยบายค่าเงิน ทำกำไรจากการค้าเงินบาทในต่างประเทศ ซึ่งขณะที่ประเทศชาติโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เสียหายเป็นแสนล้านบาท **ตนเอง หรือโนมินีในต่างประเทศกับทำกำไรมหาศาล จนประเทศก็ต้องประสบกับวิกฤตเศรษฐกิจ เดินหน้าต่อไปไม่ได้
ผมเชื่อว่า หลายคนก็อยากเดินในทางชอบธรรม แต่ก็ต้องเป็นเช่นนั้นจริงๆ ฝ่ายรัฐบาล ก็ควรปลูกฝังคุณธรรม ละเลิกการทุจริต มุ่งมั่นทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ผมเชื่อเช่นกันว่า** สิ่งที่จะปกป้องรัฐบาล คือผลงาน การทำความดี และความสุจริตในการทำงาน เพราะไม่ว่าใครเป็นรัฐบาล เป็นผู้บริหารงบประมาณของชาติปีละกว่าล้านล้านบาท ก็น่าจะต้องมีผลงานออกมามากพอสมควร** ไม่ว่าจะเป็นใคร
ผู้แทนประชาชนที่ไม่เห็นด้วย ก็ดูจะได้ทำหน้าที่คัดค้าน วิจารณ์ เสนอความเห็นในระดับที่เหมาะสมตามระบบรัฐสภาฝ่ายประชาชนผู้ไม่เห็นด้วยส่วนหนึ่ง ก็อาจทำงาน "การเมืองภาคประชาชน" เท่าที่ผมเห็น ก็ดูมีความตั้งใจ ไม่ใช่เรียกร้องเพื่อประโยชน์ส่วนตัว หลายๆคนหลังทำงาน ต้องไปตากแดด ตากฝน ตัวเปียกแฉะ แต่ที่ทนกันได้ เพราะส่วนใหญ่ ก็ตั้งใจเพื่อบ้านเมือง เพื่อลูกหลาน (อย่างไรก็ตาม ก็ขอให้ระมัดระวังไม่ให้เพื่อนร่วมชาติต้องเดือดร้อนเกินควร)
**กลุ่มพลังบริสุทธิ์ แม้เป็นเพียงส่วนน้อย ก็มีชัยชนะได้ เมื่อสิ่งที่เรียกร้อง เป็นเพื่อพิทักษ์ความถูกต้องชอบธรรมในสังคม และเพื่อประชาชนโดยส่วนรวม กำลังบริสุทธิ์ของประชาชน ได้ช่วยสกัดการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อปกป้องพวกพ้องจากความผิด และช่วยเป็นแรงกดดันให้ผู้ไม่รู้กตัญญูพระคุณแผ่นดินต้องลงจากตำแหน่งไปแล้ว **
ขณะนี้ กระบวนการ "การเมืองภาคประชาชน" อาจจะทบทวนเพื่อเก็บกำลังไว้เพื่อพิทักษ์ความถูกต้องยุติธรรมต่อไป หากนักการเมืองยังอาจเล่นเล่ห์กล ไม่ถอยจริงในเรื่องการใช้อำนาจกดดันกระบวนการยุติธรรม การเรียกระดมประชาชนผู้ยังศรัทธาความถูกต้องชอบธรรม ก็ย่อมจะมีผู้ยินดีออกมาร่วมด้วยเมื่อถึงเวลาอย่างแน่นอน** ขอให้คนไทย รู้รักสามัคคี ไม่ยอมรับความแตกแยก เชื่อทางสว่าง ส่งเสริมความดี ให้กำลังใจรัฐบาลในการบริหารบ้านเมืองอย่างสุจริต บ้านเมืองก็จะไม่เข้าสู่วิกฤต เศรษฐกิจ**จึงจะดีต่อไปได้ในระยะยาวครับ
มนตรี ศรไพศาล
ฝ่ายวิชาการ ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย(montree4life@yahoo.com)