เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว นั่งฟังวิทยุหวังจะได้รับข่าวสาร เรื่องการพัฒนาบ้านเมืองกันบ้าง กลับได้ยินพูดกันแต่เรื่อง ๖ ตุลา ซึ่งเกิดขึ้นสมัยพรรคฝ่ายค้านเป็นรัฐบาล แต่มาถึงวันนี้ สมาชิกพรรคนี้กลับหยิบยกขึ้น เป็นประเด็นเขย่ารัฐบาลสนุกสนานกันดี
กว่าสามสิบปีหลังเหตุการณ์ในวันนั้น ประชาธิปัตย์มีวาสนากลับมาเป็นรัฐบาลอีก ๒ ครั้ง แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการชำระประวัติศาสตร์ สืบสวนราวเรื่องให้ผู้คนทราบ ว่า
ทำไม พรรคของตนจึงปล่อย ให้เหตุการณ์อย่างนั้น เกิดขึ้นมาได้อย่างไรกัน? ทั้งๆที่ในขณะนั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีอำนาจเต็มที่ในบริหารบ้านเมืองร่วมกับสมาชิกพรรคคนอื่นๆ แต่ล้มเหลวในการจัดการกับปัญหาหรือเปล่า? ผู้คนในบ้านเมืองนี้ ถึงลุกขึ้นมาห้ำหั่นกัน
มาวันนี้ พรรคยี่ห้อนางธรณี กลับขุดขึ้นมาเป็นประเด็น เพื่อฟาดฟันทางการเมือง!
ผมก็อดครึกครื้น ไปกับเขาด้วยไม่ได้ เลยอยากแสดงความเห็นบ้าง คืออยากให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับสมาชิกทั้งหลาย ช่วยกันเขียนถึงประวัติศาสตร์ ๖ ตุลา ไม่ต้องไปพูดถึงคนอื่น เอาเฉพาะแต่บทบาทพรรคประชาธิปัตย์ของตัวเอง ว่าใครทำอะไรกันบ้าง ทั้งก่อนและหลังเหตุการณ์วันนั้น เพื่อเป็นความรู้กับประชาชน ทำเป็นพ๊อคเก็ตบุ๊คออกมาเลย ๑ เล่ม เพราะผมเองก็อยากรู้ ว่า
ทำไมวันนั้นสมาชิกพรรคท่าน ถึงได้กระหืดกระหอบ ลนลานออกจากทำเนียบกันไป!?
เขียนออกมาไวๆหน่อยก็ดี เพราะผมจะได้นำไปตรวจสอบ กับข้อมูลของฝ่ายตำรวจ ที่ลงเป็นหลักเป็นฐานเอาไว้มั่นคง มีทั้งเอกสารของทางราชการ รายงานเบ็ดเสร็จประจำวัน พยานเอกสาร พยานบุคคลฯลฯ
ใช่แต่แค่นั้น ยังมีแฟ้มตำรวจสันติบาล ไม่ว่าจะเป็นแฟ้มพื้นที แฟ้มเหตุการณ์ และแฟ้มบุคคล ภาพถ่ายชัดเจนทั้งก่อนและหลัง ๖ ตุลา และในประวัติบุคคล ก็จะมีรายงานละเอียดถี่ยิบ และยังมีพยานสำคัญที่เป็นเจ้าหน้าที่ ซึ่งเข้าระงับเหตุ ที่ยังมีชีวิตและสุขภาพดี พร้อมที่จะมาให้สัมภาษณ์กับผมด้วย (ติดต่อไปแล้ว)
นอกจากนั้น พวกที่หนีเข้าป่า ไปร่วมกับกองกำลังคอมมิวนิสต์ ซึ่งในที่สุดก็พ่ายแพ้
แบบราบคาบ ยอมจำนนวางอาวุธ กลับออกมามอบตัวกับทางการ ก็ให้ปากคำและมีการบันทึกไว้อย่างชัดเจนทุกคน เช่น
ใครเข้าป่าไปเพราะใคร? คนไหนเคยฆ่าเจ้าหน้าที่ของรัฐบ้าง? ทำไมถึงออกมามอบตัวกับฝ่ายบ้านเมือง? และเมื่อออกมาแล้ว ทางการก็ปล่อยให้ไปดำรงชีวิตกันอย่างอิสระชน
จนกลายเป็นผู้มีหน้ามีตาในสังคมทุกวันนี้!
ดีเหมือนกันครับ แฉกันไป แฉกันมา อย่างนี้สนุกดีออก งานอย่างนี้ผมถนัดนัก และมีทีมงานอาสาสมัครส่วนตัว ช่วยกันหาหลักฐาน มาร่วมแจมกับท่านผู้นำฝ่ายค้านด้วย รับรองด้วยยี่ห้อ “วาทตะวัน” ว่าจะลงมือบรรเลงหนังสือของตัวเอง ออกมาวิจารณ์ เปิดโปงเบื้องหลังครั้งนี้ด้วยตนเอง
ไม่ยอมให้คนอื่น ร่วมเขียนด้วยแน่ๆ!
จะเอาให้ดังสนั่นลั่นประเทศ แบบ “รัดทำมะนวย...ฉบับหัวคูณ” ที่ร่ำลือกันยังไม่เลิก แต่งานเขียนของผมจะออกมา มีหน้าตาอย่างไรนั้น ตัวใครตัวมันก็แล้วกันนะ
ฝ่ายที่ริเริ่มจุดประเด็นในสภา อย่ารีบถอดใจก่อนก็แล้วกัน!!...๕๕๕
เมื่อพูดถึงพรรคฝ่ายค้านในสภาระดับชาติแล้ว ก็อดไม่ได้ต้องพูดถึงเวทีเล็กคือ กทม.
ที่นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ ซึ่งนอกจากกังวล เพราะมีข่าวคอรัปชั่นใน กทม. ของท่านอย่างหนาหูแล้ว โดยส่วนตัวผู้ว่าเองก็ต้องตั้งรับศึก พยายามเอาตัวให้รอดจากการกล่าวหาเรื่องคอรัปชั่นให้ได้ นี่ก็โดนเรียกไปสอบก็หลายรอบแล้ว แต่มาเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ไทยรัฐพาดหัวเสียใหญ่โตน่าตกใจ ว่า
ร้อง ‘อภิรักษ์’สอบ บิ๊กกทม. คอรัปชันทางเพศ
เวบผู้จัดการของเรา ถึงกับพาดหัวข่าวว่า “อภิรักษ์" ชี้ "บิ๊กกทม." งาบขรก.สาวทำภาพลักษณ์องค์กรป่นปี้” ขนาดนั้นเลยทีเดียว
สำหรับเรื่องคอรัปชั่นทางเพศ เช่น ข้าราชการไปเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน อย่างนี้ใครที่ถูกละเมิด จะไปแจ้งกับ ป.ป.ช. ซึ่งแม้จะไม่มีหน้าที่โดยตรง แต่คงไม่ผิดหวังเพราะ นายกล้าณรงค์ จันทิก ท่านก็เน้นหนักเรื่องศีลธรรมนัก เจ้าหน้าที่ของรัฐรายใดที่เจ้าชู้ ผิดลูกผิดเมียชาวบ้าน เมื่อผู้เสียหายส่งคำร้องเรียนร้องมา
รับรองว่า “หนวดเสน่ห์” จัดการส่งให้หน่วยต้นสังกัดให้ที!
ส่วนผู้ว่า กทม.อย่างคุณอภิรักษ์ฯนั้น ก็เป็นคนดีมีศีลธรรม เมื่อได้รับการร้องเรียนแล้ว ต้องจัดการให้แน่ แต่หากท่านคิดไม่ออกว่า จะแก้ปัญหาคอรัปชั่นทางเพศ ในองค์กรตัวเองอย่างไรดี นั้น
ขอแนะนำให้กลับไปปรึกษา ผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคคงพอได้ ไม่ว่าจะเป็นประธานพรรค หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค บุคคลเหล่านี้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์มาก ล้วนแต่แอนตี้เรื่องผิดลูกผิดเมียด้วยกันทั้งนั้น และทุกท่านที่เอ่ยถึง
ต่างก็มีศีลธรรมสูงส่ง ด้วยกันทุกคน!!
รับรองว่า ศูนย์พิทักษ์สิทธิสตรี มูลนิธิเพื่อนหญิงฝ่ายผู้ร้อง...ไม่ผิดหวังแน่!!!
นอกจาก ป.ป.ช.ซึ่งเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ มีหน้าที่ปราบปรามคอรัปชั่นแล้ว เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านไป ผมยังเขียนถึง คตส. ที่ถือกำเนิดเกิดมา จากการยึดอำนาจในแผ่นดินของกลุ่ม “กบฏ” โดยให้ทำหน้าที่แบบ ป.ป.ช. แต่วัตถุประสงค์จัดตั้งขึ้นนั้น ก็เพื่อจัดการทักษิณกับพวกโดยเฉพาะเจาะจง และผมลงความเห็นในกาแฟขม...ขนมหวานตอนที่แล้วว่า
มาถึงปัจจุบันนี้...
คตส.หมดสภาพในการทำหน้าที่ ตามประกาศของ คปค.ไปเรียบร้อยแล้ว!
เมื่อเขียนไปเสร็จสรรพ จนขึ้นหน้าเวบผู้จัดการแล้ว ยังไม่ทราบว่าจะมีคนในสำนักงานของท่านชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด มาเปิดอ่านกันหรือไม่?
ดังนั้น เพื่อให้แน่ใจว่า เรื่องนี้ต้องไปถึงสำนักงานอัยการสูงสุด ที่มีคณะทำงานซึ่ง
ท่านชัยเกษมฯแต่งตั้งขึ้น กำลังตรวจพิจารณาสำนวนที่ คตส. ส่งไปให้ ผมจึงมีหนังสือ ที่
วว.๑/๒๕๕๑ ลง ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ ไปถึงท่านอัยการสูงสุด อีกต่างหาก
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการขยายความเพิ่มเติม ไม่ให้ผู้อ่านที่รักของผม สับสนเรื่องข้อกฎหมาย จึงขอถือโอกาส นำข้อความในจดหมายมาเปิดผนึก ให้ท่านได้อ่านกันบางช่วงบางตอน เพื่อความเข้าใจอันดี เพราะจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ
ผมเขียนอย่างนี้ครับ...
เรื่อง แจ้งการหมดสภาพ ของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)
เรียน ท่านอัยการสูงสุด
อ้างถึง ๑.บทความในเวบไซด์ของหนังสือพิมพ์ “ผู้จัดการ” คอลัมน์ “กาแฟขม...ขนมหวาน” โดย วาทตะวัน สุพรรณเภษัช ตอนที่ ๓๐๖ ชื่อตอน “คตส. ยาหมดอายุ...กินก็ไม่ได้ ทาก็ไม่ได้แล้ว!”
สิ่งที่ส่งมาด้วย ๑. สำเนาเอกสารที่อ้างถึงหมายเลข ๑ และ
๒.หนังสือ “รัดทำมะนวย...ฉบับหัวคูณ” จำนวน ๑ เล่ม
ข้าพเจ้า วาทตะวัน สุพรรณเภษัช เป็นผู้เขียนคอลัมน์ “กาแฟขม...ขนมหวาน” ใน
เวบไซด์ของหนังสือพิมพ์ “ผู้จัดการ” ติดต่อกันมาเป็นเวลานานกว่า ๖ ปี แล้ว
บทความของ ตอนที่ ๓๒๖ ชื่อ “คตส. ยาหมดอายุ.....กินก็ไม่ได้ ทาก็ไม่ได้แล้ว” เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ (เอกสารที่อ้างถึงและส่งมาด้วย หมายเลข ๑) ได้อธิบายความให้ผู้อ่าน มีสาระสำคัญพอสรุปได้ว่า คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้หมดสภาพลงไปแล้วนั้น
บัดนี้ ได้ทราบว่าคณะกรรมการชุดดังกล่าว ยังคงไม่เข้าใจถึงฐานะการสิ้นสภาพของตน และยังคงดำเนินการสอบสวน และคงส่งสำนวนการสอบสวนของตนมายังท่าน ดังปรากฏเป็นข่าวในหน้าสื่อมวลชนต่างๆ ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่า
เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย
จึงเรียนมายังท่าน เพื่อโปรดทราบรายละเอียดเพิ่มเติมในบทความ ดังข้อความที่ปรากฏต่อไปนี้
๑. ตามประกาศ คปค. ฉบับที่ ๓๐ ลงวันที่๓๐ กันยายน ๒๕๔๙ เรื่องการ
ตรวจสอบ การกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๙ ข้อ ๕ วรรคสาม (๒) กำหนดให้คณะกรรมการตรวจสอบ ใช้อำนาจคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๔๒ ข้อ ๙ กำหนดว่า
กรณีคณะกรรมการตรวจสอบมีมติว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือบุคคลใด กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ ให้ถือว่ามติคณะกรรมการตรวจสอบเป็นมติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
๒. การสิ้นสภาพของ คตส. ตามที่กล่าวในข้อ ๑ มีประเด็นสำคัญอีกกรณีหนึ่งคือ
กรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งสมาชิกทั้งหมดเป็นผู้ได้รับการสรรหาและแต่งตั้งจากคณะรัฐประหาร โดยไม่ผ่านกระบวนการในระบอบประชาธิปไตย ได้ตราพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ ๓๐ เรื่อง การตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๙ พ.ศ.๒๕๕๐ ออกมาบังคับใช้ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม๑๒๔ ตอนที่ ๕๑ ก เมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๐ มีผลบังคับใช้ในวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๐ (วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา) ซึ่งออกมาภายหลังรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ ที่ได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๐
เป็นการตอกย้ำว่า พระราชบัญญัติดังกล่าว เป็นกฎหมายที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ จึงไม่สามารถบังคับใช้ได้ ตามนัย มาตรา ๖ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐
๓. จากรายละเอียดที่ซึ่งได้เรียนมาแล้วข้างต้น จะเห็นได้ว่า มติของ คตส. หรือ
สำนวนไต่สวนข้อเท็จจริง มิใช่มติและสำนวนไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. อีกต่อไป
ดังนั้น สำนวนไต่สวนดังกล่าวของ คตส. จึงมิใช่สำนวนไต่สวนตามนัย มาตรา ๗๐ แห่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๔๒ อัยการสูงสุดย่อมไม่มีอำนาจ ที่จะรับสำนวนไต่สวน ของ คตส.ทุกสำนวน ไว้พิจารณา
ในขณะเดียวกันอัยการสูงสุด ย่อมไม่มีอำนาจที่จะยื่นฟ้องคดี ตามสำนวนไต่สวนของ คตส. ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามนัยมาตรา ๑๐ แห่ง พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๒
๔. ในกรณีที่อัยการสูงสุด มีข้อสงสัยหรือมีปัญหา เกี่ยวกับอำนาจของ คตส.
ดังกล่าวข้างต้น เพื่อให้เกิดความกระจ่างชัดในเรื่องนี้ และเพื่อเป็นการพิจารณาให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหาทุกราย ตามหลักนิติธรรม ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดได้ยึดถือมาโดยตลอด ขอได้โปรดพิจารณาดำเนินการ ให้มีการส่งเรื่องปัญหาดังกล่าวนี้ ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อมีคำวินิจฉัยต่อไปด้วย
๕. ในชั้นนี้ขอได้โปรดพิจารณาแจ้งให้ คตส.ทราบถึงการสิ้นสภาพ และคืนสำนวนไต่สวนที่ คตส.ได้ส่งมาให้อัยการสูงสุด กลับไปโดยด่วนที่สุด
จึงเรียนมาเพื่อโปรดได้พิจารณา และดำเนินการตามหลักการของกฎหมายทั้งหมดต่อไป
อนึ่ง....
นั่นเป็นจดหมายที่ผู้เขียนเสนอไปถึง ท่านชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด ซึ่ง เปรียบเสมือนตะปูลงยันต์ดอกสำคัญ สำหรับอัยการของพระเจ้าแผ่นดิน ใช้ “ตอกปิดฝาโลง” คตส. ซึ่งเปรียบดั่งขวากชิ้นสุดท้าย ของพวก “กบฏ”...
ที่ยังคงทิ้งรุงรังไว้ ให้รกแผ่นดินไทย ที่รักยิ่งของพวกเราทุกคน นั่นเอง!
กว่าสามสิบปีหลังเหตุการณ์ในวันนั้น ประชาธิปัตย์มีวาสนากลับมาเป็นรัฐบาลอีก ๒ ครั้ง แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการชำระประวัติศาสตร์ สืบสวนราวเรื่องให้ผู้คนทราบ ว่า
ทำไม พรรคของตนจึงปล่อย ให้เหตุการณ์อย่างนั้น เกิดขึ้นมาได้อย่างไรกัน? ทั้งๆที่ในขณะนั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีอำนาจเต็มที่ในบริหารบ้านเมืองร่วมกับสมาชิกพรรคคนอื่นๆ แต่ล้มเหลวในการจัดการกับปัญหาหรือเปล่า? ผู้คนในบ้านเมืองนี้ ถึงลุกขึ้นมาห้ำหั่นกัน
มาวันนี้ พรรคยี่ห้อนางธรณี กลับขุดขึ้นมาเป็นประเด็น เพื่อฟาดฟันทางการเมือง!
ผมก็อดครึกครื้น ไปกับเขาด้วยไม่ได้ เลยอยากแสดงความเห็นบ้าง คืออยากให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับสมาชิกทั้งหลาย ช่วยกันเขียนถึงประวัติศาสตร์ ๖ ตุลา ไม่ต้องไปพูดถึงคนอื่น เอาเฉพาะแต่บทบาทพรรคประชาธิปัตย์ของตัวเอง ว่าใครทำอะไรกันบ้าง ทั้งก่อนและหลังเหตุการณ์วันนั้น เพื่อเป็นความรู้กับประชาชน ทำเป็นพ๊อคเก็ตบุ๊คออกมาเลย ๑ เล่ม เพราะผมเองก็อยากรู้ ว่า
ทำไมวันนั้นสมาชิกพรรคท่าน ถึงได้กระหืดกระหอบ ลนลานออกจากทำเนียบกันไป!?
เขียนออกมาไวๆหน่อยก็ดี เพราะผมจะได้นำไปตรวจสอบ กับข้อมูลของฝ่ายตำรวจ ที่ลงเป็นหลักเป็นฐานเอาไว้มั่นคง มีทั้งเอกสารของทางราชการ รายงานเบ็ดเสร็จประจำวัน พยานเอกสาร พยานบุคคลฯลฯ
ใช่แต่แค่นั้น ยังมีแฟ้มตำรวจสันติบาล ไม่ว่าจะเป็นแฟ้มพื้นที แฟ้มเหตุการณ์ และแฟ้มบุคคล ภาพถ่ายชัดเจนทั้งก่อนและหลัง ๖ ตุลา และในประวัติบุคคล ก็จะมีรายงานละเอียดถี่ยิบ และยังมีพยานสำคัญที่เป็นเจ้าหน้าที่ ซึ่งเข้าระงับเหตุ ที่ยังมีชีวิตและสุขภาพดี พร้อมที่จะมาให้สัมภาษณ์กับผมด้วย (ติดต่อไปแล้ว)
นอกจากนั้น พวกที่หนีเข้าป่า ไปร่วมกับกองกำลังคอมมิวนิสต์ ซึ่งในที่สุดก็พ่ายแพ้
แบบราบคาบ ยอมจำนนวางอาวุธ กลับออกมามอบตัวกับทางการ ก็ให้ปากคำและมีการบันทึกไว้อย่างชัดเจนทุกคน เช่น
ใครเข้าป่าไปเพราะใคร? คนไหนเคยฆ่าเจ้าหน้าที่ของรัฐบ้าง? ทำไมถึงออกมามอบตัวกับฝ่ายบ้านเมือง? และเมื่อออกมาแล้ว ทางการก็ปล่อยให้ไปดำรงชีวิตกันอย่างอิสระชน
จนกลายเป็นผู้มีหน้ามีตาในสังคมทุกวันนี้!
ดีเหมือนกันครับ แฉกันไป แฉกันมา อย่างนี้สนุกดีออก งานอย่างนี้ผมถนัดนัก และมีทีมงานอาสาสมัครส่วนตัว ช่วยกันหาหลักฐาน มาร่วมแจมกับท่านผู้นำฝ่ายค้านด้วย รับรองด้วยยี่ห้อ “วาทตะวัน” ว่าจะลงมือบรรเลงหนังสือของตัวเอง ออกมาวิจารณ์ เปิดโปงเบื้องหลังครั้งนี้ด้วยตนเอง
ไม่ยอมให้คนอื่น ร่วมเขียนด้วยแน่ๆ!
จะเอาให้ดังสนั่นลั่นประเทศ แบบ “รัดทำมะนวย...ฉบับหัวคูณ” ที่ร่ำลือกันยังไม่เลิก แต่งานเขียนของผมจะออกมา มีหน้าตาอย่างไรนั้น ตัวใครตัวมันก็แล้วกันนะ
ฝ่ายที่ริเริ่มจุดประเด็นในสภา อย่ารีบถอดใจก่อนก็แล้วกัน!!...๕๕๕
เมื่อพูดถึงพรรคฝ่ายค้านในสภาระดับชาติแล้ว ก็อดไม่ได้ต้องพูดถึงเวทีเล็กคือ กทม.
ที่นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ ซึ่งนอกจากกังวล เพราะมีข่าวคอรัปชั่นใน กทม. ของท่านอย่างหนาหูแล้ว โดยส่วนตัวผู้ว่าเองก็ต้องตั้งรับศึก พยายามเอาตัวให้รอดจากการกล่าวหาเรื่องคอรัปชั่นให้ได้ นี่ก็โดนเรียกไปสอบก็หลายรอบแล้ว แต่มาเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ไทยรัฐพาดหัวเสียใหญ่โตน่าตกใจ ว่า
ร้อง ‘อภิรักษ์’สอบ บิ๊กกทม. คอรัปชันทางเพศ
เวบผู้จัดการของเรา ถึงกับพาดหัวข่าวว่า “อภิรักษ์" ชี้ "บิ๊กกทม." งาบขรก.สาวทำภาพลักษณ์องค์กรป่นปี้” ขนาดนั้นเลยทีเดียว
สำหรับเรื่องคอรัปชั่นทางเพศ เช่น ข้าราชการไปเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน อย่างนี้ใครที่ถูกละเมิด จะไปแจ้งกับ ป.ป.ช. ซึ่งแม้จะไม่มีหน้าที่โดยตรง แต่คงไม่ผิดหวังเพราะ นายกล้าณรงค์ จันทิก ท่านก็เน้นหนักเรื่องศีลธรรมนัก เจ้าหน้าที่ของรัฐรายใดที่เจ้าชู้ ผิดลูกผิดเมียชาวบ้าน เมื่อผู้เสียหายส่งคำร้องเรียนร้องมา
รับรองว่า “หนวดเสน่ห์” จัดการส่งให้หน่วยต้นสังกัดให้ที!
ส่วนผู้ว่า กทม.อย่างคุณอภิรักษ์ฯนั้น ก็เป็นคนดีมีศีลธรรม เมื่อได้รับการร้องเรียนแล้ว ต้องจัดการให้แน่ แต่หากท่านคิดไม่ออกว่า จะแก้ปัญหาคอรัปชั่นทางเพศ ในองค์กรตัวเองอย่างไรดี นั้น
ขอแนะนำให้กลับไปปรึกษา ผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคคงพอได้ ไม่ว่าจะเป็นประธานพรรค หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค บุคคลเหล่านี้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์มาก ล้วนแต่แอนตี้เรื่องผิดลูกผิดเมียด้วยกันทั้งนั้น และทุกท่านที่เอ่ยถึง
ต่างก็มีศีลธรรมสูงส่ง ด้วยกันทุกคน!!
รับรองว่า ศูนย์พิทักษ์สิทธิสตรี มูลนิธิเพื่อนหญิงฝ่ายผู้ร้อง...ไม่ผิดหวังแน่!!!
นอกจาก ป.ป.ช.ซึ่งเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ มีหน้าที่ปราบปรามคอรัปชั่นแล้ว เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านไป ผมยังเขียนถึง คตส. ที่ถือกำเนิดเกิดมา จากการยึดอำนาจในแผ่นดินของกลุ่ม “กบฏ” โดยให้ทำหน้าที่แบบ ป.ป.ช. แต่วัตถุประสงค์จัดตั้งขึ้นนั้น ก็เพื่อจัดการทักษิณกับพวกโดยเฉพาะเจาะจง และผมลงความเห็นในกาแฟขม...ขนมหวานตอนที่แล้วว่า
มาถึงปัจจุบันนี้...
คตส.หมดสภาพในการทำหน้าที่ ตามประกาศของ คปค.ไปเรียบร้อยแล้ว!
เมื่อเขียนไปเสร็จสรรพ จนขึ้นหน้าเวบผู้จัดการแล้ว ยังไม่ทราบว่าจะมีคนในสำนักงานของท่านชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด มาเปิดอ่านกันหรือไม่?
ดังนั้น เพื่อให้แน่ใจว่า เรื่องนี้ต้องไปถึงสำนักงานอัยการสูงสุด ที่มีคณะทำงานซึ่ง
ท่านชัยเกษมฯแต่งตั้งขึ้น กำลังตรวจพิจารณาสำนวนที่ คตส. ส่งไปให้ ผมจึงมีหนังสือ ที่
วว.๑/๒๕๕๑ ลง ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ ไปถึงท่านอัยการสูงสุด อีกต่างหาก
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการขยายความเพิ่มเติม ไม่ให้ผู้อ่านที่รักของผม สับสนเรื่องข้อกฎหมาย จึงขอถือโอกาส นำข้อความในจดหมายมาเปิดผนึก ให้ท่านได้อ่านกันบางช่วงบางตอน เพื่อความเข้าใจอันดี เพราะจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ
ผมเขียนอย่างนี้ครับ...
๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
เรื่อง แจ้งการหมดสภาพ ของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)
เรียน ท่านอัยการสูงสุด
อ้างถึง ๑.บทความในเวบไซด์ของหนังสือพิมพ์ “ผู้จัดการ” คอลัมน์ “กาแฟขม...ขนมหวาน” โดย วาทตะวัน สุพรรณเภษัช ตอนที่ ๓๐๖ ชื่อตอน “คตส. ยาหมดอายุ...กินก็ไม่ได้ ทาก็ไม่ได้แล้ว!”
สิ่งที่ส่งมาด้วย ๑. สำเนาเอกสารที่อ้างถึงหมายเลข ๑ และ
๒.หนังสือ “รัดทำมะนวย...ฉบับหัวคูณ” จำนวน ๑ เล่ม
ข้าพเจ้า วาทตะวัน สุพรรณเภษัช เป็นผู้เขียนคอลัมน์ “กาแฟขม...ขนมหวาน” ใน
เวบไซด์ของหนังสือพิมพ์ “ผู้จัดการ” ติดต่อกันมาเป็นเวลานานกว่า ๖ ปี แล้ว
บทความของ ตอนที่ ๓๒๖ ชื่อ “คตส. ยาหมดอายุ.....กินก็ไม่ได้ ทาก็ไม่ได้แล้ว” เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ (เอกสารที่อ้างถึงและส่งมาด้วย หมายเลข ๑) ได้อธิบายความให้ผู้อ่าน มีสาระสำคัญพอสรุปได้ว่า คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้หมดสภาพลงไปแล้วนั้น
บัดนี้ ได้ทราบว่าคณะกรรมการชุดดังกล่าว ยังคงไม่เข้าใจถึงฐานะการสิ้นสภาพของตน และยังคงดำเนินการสอบสวน และคงส่งสำนวนการสอบสวนของตนมายังท่าน ดังปรากฏเป็นข่าวในหน้าสื่อมวลชนต่างๆ ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่า
เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย
จึงเรียนมายังท่าน เพื่อโปรดทราบรายละเอียดเพิ่มเติมในบทความ ดังข้อความที่ปรากฏต่อไปนี้
๑. ตามประกาศ คปค. ฉบับที่ ๓๐ ลงวันที่๓๐ กันยายน ๒๕๔๙ เรื่องการ
ตรวจสอบ การกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๙ ข้อ ๕ วรรคสาม (๒) กำหนดให้คณะกรรมการตรวจสอบ ใช้อำนาจคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๔๒ ข้อ ๙ กำหนดว่า
กรณีคณะกรรมการตรวจสอบมีมติว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือบุคคลใด กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ ให้ถือว่ามติคณะกรรมการตรวจสอบเป็นมติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
๒. การสิ้นสภาพของ คตส. ตามที่กล่าวในข้อ ๑ มีประเด็นสำคัญอีกกรณีหนึ่งคือ
กรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งสมาชิกทั้งหมดเป็นผู้ได้รับการสรรหาและแต่งตั้งจากคณะรัฐประหาร โดยไม่ผ่านกระบวนการในระบอบประชาธิปไตย ได้ตราพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ ๓๐ เรื่อง การตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๙ พ.ศ.๒๕๕๐ ออกมาบังคับใช้ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม๑๒๔ ตอนที่ ๕๑ ก เมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๐ มีผลบังคับใช้ในวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๐ (วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา) ซึ่งออกมาภายหลังรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ ที่ได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๐
เป็นการตอกย้ำว่า พระราชบัญญัติดังกล่าว เป็นกฎหมายที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ จึงไม่สามารถบังคับใช้ได้ ตามนัย มาตรา ๖ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐
๓. จากรายละเอียดที่ซึ่งได้เรียนมาแล้วข้างต้น จะเห็นได้ว่า มติของ คตส. หรือ
สำนวนไต่สวนข้อเท็จจริง มิใช่มติและสำนวนไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. อีกต่อไป
ดังนั้น สำนวนไต่สวนดังกล่าวของ คตส. จึงมิใช่สำนวนไต่สวนตามนัย มาตรา ๗๐ แห่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๔๒ อัยการสูงสุดย่อมไม่มีอำนาจ ที่จะรับสำนวนไต่สวน ของ คตส.ทุกสำนวน ไว้พิจารณา
ในขณะเดียวกันอัยการสูงสุด ย่อมไม่มีอำนาจที่จะยื่นฟ้องคดี ตามสำนวนไต่สวนของ คตส. ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามนัยมาตรา ๑๐ แห่ง พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๒
๔. ในกรณีที่อัยการสูงสุด มีข้อสงสัยหรือมีปัญหา เกี่ยวกับอำนาจของ คตส.
ดังกล่าวข้างต้น เพื่อให้เกิดความกระจ่างชัดในเรื่องนี้ และเพื่อเป็นการพิจารณาให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหาทุกราย ตามหลักนิติธรรม ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดได้ยึดถือมาโดยตลอด ขอได้โปรดพิจารณาดำเนินการ ให้มีการส่งเรื่องปัญหาดังกล่าวนี้ ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อมีคำวินิจฉัยต่อไปด้วย
๕. ในชั้นนี้ขอได้โปรดพิจารณาแจ้งให้ คตส.ทราบถึงการสิ้นสภาพ และคืนสำนวนไต่สวนที่ คตส.ได้ส่งมาให้อัยการสูงสุด กลับไปโดยด่วนที่สุด
จึงเรียนมาเพื่อโปรดได้พิจารณา และดำเนินการตามหลักการของกฎหมายทั้งหมดต่อไป
อนึ่ง....
นั่นเป็นจดหมายที่ผู้เขียนเสนอไปถึง ท่านชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด ซึ่ง เปรียบเสมือนตะปูลงยันต์ดอกสำคัญ สำหรับอัยการของพระเจ้าแผ่นดิน ใช้ “ตอกปิดฝาโลง” คตส. ซึ่งเปรียบดั่งขวากชิ้นสุดท้าย ของพวก “กบฏ”...
ที่ยังคงทิ้งรุงรังไว้ ให้รกแผ่นดินไทย ที่รักยิ่งของพวกเราทุกคน นั่นเอง!
....................