คมช.ปิดฉากอย่างเป็นทางการ “ชลิต” ยอมรับทำงานไม่เข้าเป้า อ้างทำดีที่สุดแล้วภายใต้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ มีอุปสรรคด้านเวลา และมีข้อจำกัดหลายอย่าง ฝากรัฐบาล “หมัก” ลดความแตกแยก
วันนี้ (7กพ.) เวลา 07.30 น. ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ และรักษาการประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) พร้อมด้วย พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.ร.อ. สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผู้บัญชาการทหารเรือ และ สมาชิก คมช. พล.อ. วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม และเลขาธิการ คมช. พล.อ. สพรั่ง กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก และผู้ช่วยเลขาธิการ คมช. เข้าร่วมหารือ และรับประทานอาหารเช้าร่วมกัน ขาดเพียง พล.ต.อ. เสรีพิสุทธิ์ เตมียาเวช ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และสมาชิก คมช. ที่ติดภารกิจการตรวจเยี่ยม จึงได้ส่ง พล.ต.อ. วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมหารือแทน ก่อนจะแถลงยุติบทบาทของ คมช.อย่างเป็นทางการ
เวลา 08.00 น. พล.อ.อ.ชลิต พร้อมสมาชิก คมช. ทั้งหมดได้ร่วมทำพิธีถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) โดย พล.อ.อ.ชลิต กล่าวปฏิญาณต่อหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ว่า คมช.ปฏิรูปการปกครองไม่ได้มีเจตนาที่จะบริหารราชการแผ่นดิน และขณะนี้ได้ปฏิบัติภารกิจของประเทศสำเร็จแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่าจะเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และพระบรมราชจักรีวงศ์ตราบชั่วชีวิต ขอพระบารมีอันแผ่ไพศาลของพระองค์ได้โปรดประทานพรให้แก่ประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าด้วยความรักสมัครสมานสามัคคี เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว ร่วมมือร่วมใจพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรือง ดำรงคงอยู่เป็นมรดกทอดชั่วลูกหลานไทย ตามพระราชปณิธานของพระองค์ท่านตลอดไป
จากนั้น พล.อ.อ.ชลิต แถลงผลการทำงานของ คมช.ว่า บัดนี้ประเทศไทยกลับเข้าสู่สภาวะปกติอย่างสมบูรณ์ตามระบอบประชาธิปไตย มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญปี 2550 จนกระทั่งสามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะก่อให้เกิดความเข้าใจอันดีร่วมกัน และการก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างราบรื่นเรียบร้อย
พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า สถานการณ์ก่อนวันที่ 19 กันยายน 2549 สังคมไทยเกิดปัญหาความขัดแย้งแบ่งฝ่าย แตกความสามัคคีอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน การบริหารราชการแผ่นดิน องค์กรอิสระ ประสบปัญหาในการทำงาน มีการกระทำที่หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์ เกิดการเผชิญหน้าของกลุ่มมวลชนที่ขัดแย้งความคิดด้านการเมือง และล่อแหลมต่อการเกิดความรุนแรงขึ้น ยากที่จะหาทางออกด้วยวิธีการประชาธิปไตย นับเป็นภัยคุกคามการปกครองระบอบประชาธิปไตยทั้งระบอบ
“คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ประกอบด้วย ทหาร ตำรวจ พลเรือน ซึ่งมี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะ จำเป็นต้องใช้อำนาจเด็ดขาด เข้ายุติให้สถานการณ์ลุกลามขยายตัวจนเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ประเทศ แล้วขอเวลาที่เกิดช่องว่างนั้น จัดระเบียบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเสียใหม่ เพื่อให้สังคมไทยเกิดความสงบเรียบร้อย ยืนยันมาตลอดว่าไม่มีเจตนาจะเข้ามาเป็นผู้กุมอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน และจะคืนอำนาจการปกครองระบอบประชาธิปไตยกลับคืนสู่ปวงชนชาวไทยโดยเร็วที่สุด” พล.อ.อ.ชลิต กล่าว
พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า หลังการปฏิรูปเพียง 11 วัน มีรัฐธรรมนูญ 2549 (ฉบับชั่วคราว) ได้ประกาศใช้เพื่อกำหนดกลไกชั่วคราวที่เหมาะสม สำหรับใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน ได้แก่ จัดตั้งรัฐบาล จัดตั้งองค์กรอิสระต่างๆ ที่ขาดอยู่ แต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยเฉพาะการจัดกระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี 2550 โดยให้ประชาชนเลือกตั้งมีการลงประชามติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรกของประเทศไทย เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2550 จนนำไปสู่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2550 และคืนอำนาจให้แก่ประชาชนชาวไทย โดยการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550
พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า ที่ผ่านมา คมช. มิได้เข้าไปก้าวก่ายการปฏิบัติหน้าที่ทั้งฝ่ายบริหาร คือ รัฐบาล ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ คือ ศาล แม้จะมีเสียงเรียกร้องอยู่บ้าง ทั้งนี้ เพื่อให้การคืนอำนาจการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างเรียบร้อยและเป็นธรรมโดยเร็วที่สุด คมช.ยืนยันว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่างบนพื้นฐานความถูกต้อง มีกฎหมายรองรับ และเพื่อผลประโยชน์ประเทศชาติ ยอมรับว่าภาพรวมยังไม่สามารถทำให้เกิดผลสูงสุดตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ทุกประการ เพราะหลายปัญหาจำเป็นต้องใช้เวลา กลไก ทั้งกฎหมายและองค์กรรัฐ ตลอดจนความร่วมมือจากหลายฝ่าย ทำให้ไม่สามารถเห็นผลได้ในระยะเวลาสั้น
พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า ณ วันนี้ ประเทศไทยมีรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นไปตามกรอบเวลา และเจตนารมณ์ของ คมช. ในการคืนอำนาจการปกครองสู่ชาวไทย สำหรับ คมช. จะหมดภาระหน้าที่ไปตามรัฐธรรมนูญปี 2550 กลับไปเป็นกองทัพของชาติและประชาชน ถือเป็นกลไหหนึ่งของรัฐบาลมีภาระหน้าที่ เพื่อพิทักษ์รักษาเอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ และผลประโยชน์ของชาติภายใต้กฎหมายและวินัย
“คมช. คาดหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต มีจริยธรรม มีหลักธรรมาภิบาลที่ดี ยึดมั่นต่อกฎหมาย แก้ไขปัญหาความแตกแยกในสังคม แก้ปัญหาเศรษฐกิจของชาติ ตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ และตามพันธะในการหาเสียงเลือกตั้ง ตลอดจนนโยบายของพรรค ที่ถือว่าประชาชนส่วนใหญ่รับรู้และเห็นชอบแล้ว เพื่อป้องกันมิให้ชาติกลับสู่สถานการณ์ที่บอบช้ำเช่นในอดีต และไม่เป็นอันตรายต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คมช.ขอขอบคุณนายกรัฐมนตรี พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ พลเรือน องค์กรอิสระต่างๆ ที่จัดตั้งขึ้น ตลอดจนประชาชนชาวไทยที่ช่วยกันประคับประคองประเทศชาติ จนก้าวเดินมาอยู่ ณ ปัจจุบัน หากมีการกระทำใด ๆ ที่มีผลกระทบต่อประชาชน คมช. ต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้” พล.อ.อ.ชลิต กล่าว
เมื่อถามว่า มีภารกิจบางอย่างของรัฐบาลที่ต้องใช้ระยะเวลา คมช.ต้องจับตามองการทำงานของรัฐบาลในภารกิจที่ยังไม่เสร็จสิ้นหรือไม่ พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า ่ไม่ได้หมายถึงรัฐบาลยังทำอะไรไม่เสร็จ แต่สิ่งต่างๆ ที่รัฐบาลทำมานั้นหรือยังทำอยู่ต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ และเห็นผลในระยะเวลาต่อไป ส่วนการปฏิบัติงานของรัฐบาลชุดใหม่ คิดว่าประชาชนทุกคนในประเทศ แม้แต่เราก็มีสิทธิที่จะตรวจสอบ ร้องขอในนามของประชาชนที่ตนพูดไม่ใช่ในนามของทหาร แต่ว่าประชาชนทุกคนมีสิทธิในการตรวจสอบ
เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไรจากนี้ไปทหารกลับไปอยู่กรม กอง และอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลชุดนี้ที่ทหารทำการปฏิวัติมา พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า พรรคนี้เป็นพรรคใหม่ที่ได้เข้ามาทำงาน คมช. ไม่ต้องการอำนาจหรือการบริหารใด ๆ เราต้องการที่จะหยุดสถานการณ์และแก้ไข เพื่อให้คณะรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ คมช.ทุกคนยินดี เพราะเป็นภาระหน้าที่ของกองทัพ คือ กองทัพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังนั้น ภาระของเราจะมีในการปฏิบัติให้กับประเทศชาติ ศาสน์ และพระมหากษัตริย์
“คิดว่าคณะรัฐบาลที่เข้ามาคงต้องพยายามทำอย่างนั้น เพื่อประเทศและประชาชนเหมือนกัน การปฏิบัติจะเป็นเครื่องแสดงผลงานของแต่ละคน เราไม่ได้คิดว่าเราจะต้องคำนึงว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล เพราะถ้าทุกคนเข้ามาถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตยนั่นคือประชาชนยอมรับ เมื่อประชาชนยอมรับคนในประเทศก็จะต้องยอมรับในเสียงส่วนใหญ่ และการทำงานของแต่ละท่านจะเป็นเครื่องพิสูจน์ต่อไป” พล.อ.อ.ชลิต กล่าว
เมื่อถามว่า หากเกิดปัญหาในกลาโหมสามารถเสนอให้นาย สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้หรือไม่ พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า ความมั่นคงของประเทศไม่จำกัดแค่ทหาร เศรษฐกิจก็เป็นความมั่นคง การป้องกันประเทศก็เป็นความมั่นคง ทุกคนรักประเทศไม่ว่าอาชีพใด เพียงแต่ความรู้ ความเชี่ยวชาญในสาขานั้นน้อยลง คิดว่าท่านก็จะต้องเลือกที่ปรึกษาคณะกลุ่มที่มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องนี้มาให้คำปรึกษาท่าน ไม่น่าห่วง เพราะปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ก็เป็นสต๊าฟคนหนึ่งของ รมว.กลาโหม ในการให้ข้อมูล สำคัญอยู่ที่ว่าเราต้องเชื่อถือในระบอบประชาธิปไตย เมื่อท่านได้รับการเลือกตั้งมา เราก็ต้องรับฟังและปฏิบัติตามนโยบายที่ถูกต้องตามกฎหมาย
เมื่อถามว่า พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูป บอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นบทเรียน หากกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลรวมตัวกันกองทัพจะกลับมาอีกหรือไม่ พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า ทหารไม่ว่าประเทศไหนต้องศึกษาประวัติศาสตร์ และนำบทเรียนมาประยุกต์ใช้แก้สถานการณ์สงคราม สิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศคิดว่าผู้เข้ามาทำงานจุดนี้ คือ พรรคการเมืองต้องพยายามศึกษา ถือเป็นภารกิจด้านการเมือง ทหารไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นคิดว่าประชาชนและผู้คนในเมืองรู้ว่าสิ่งไหนดีหรือไม่ดี สิ่งที่เกิดขึ้นหากย้อนกลับไปใน 1-2 ปี ที่ผ่านมา บางครั้งไม่ได้ทำขึ้นหรือเกิดขึ้นด้วยคน แต่เป็นเองโดยธรรมชาติ
เมื่อถามว่า ผู้ที่ประกาศเป็นนอมินีพรรคไทยรักไทยชัยชนะการเลือกตั้ง มองว่าสิ่งที่ คมช.ปฏิรูปมา 1 ปีกว่าประสบความสำเร็จหรือพ่ายแพ้ พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า คมช. ไม่ได้ตั้งตัวที่จะเป็นปฏิปักษ์โค่นล้มพรรคใดพรรคหนึ่ง เราต้องการหยุดสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น การประกาศว่าเป็นนอมินี ไม่แน่ใจว่ามีการประกาศแล้วหรือไม่ เป็นเรื่องที่พูดยาก แต่การกระทำและสิ่งต่อไปในอนาคตเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เราไม่ได้คิดว่าเราแพ้ เพราะเราไม่ได้ไปต่อสู้หรือแข่งขันใดๆ เพียงแต่เราต้องการจัดระบอบ
เมื่อถามว่า นายสมัคร ประกาศจะแก้ไข รธน. และออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับคณะกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน ขัดเจตนารมณ์ คมช.หรือไม่ พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า เวลานี้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่ถูกต้องตามกฎหมาย และประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเลือกเข้ามา ส่วนการแก้ไขเป็นสิทธิเสรีภาพของผู้ที่มีอำนาจ หากดำเนินการเรื่องนี้ออกมาแล้วประชาชนเห็นชอบ ก็เป็นความต้องการของประชาชน บางครั้งหากเราไปขัดขวางก็เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง คิดว่าคนในประเทศจะทราบดีว่าความต้องการของประชาชนแท้จริงคืออะไร เวลาและประชาชนจะเป็นผู้เห็นชอบการตัดสินว่าควรกระทำหรือไม่
เมื่อถามว่า หากนิรโทษกรรมจริง เท่ากับว่าคำตัดสินของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่มีความหมาย พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า นั่นคือคำตอบว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปฏิบัติไปตามกฎหมายที่มีอยู่ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้พิพากษาไปตามที่เราทราบกัน แต่การแก้ไขจะแก้และทำอะไรต่าง ๆ อยู่ จะถูกต้องตามครรลองครองธรรมของกฎหมายหรือไม่ แต่สิ่งที่ผ่านมาทุกสิ่งเป็นเรื่องตามกฎหมายทั้งสิ้น
เมื่อถามว่า อยากพูดอะไรกับประชาชนก่อนจบภารกิจและหากย้อนเวลาจะแก้ไขสิ่งไหน หรือจะปฏิวัติหรือไม่ พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า ไม่ขอพูดตรงนั้น แต่ขอขอบคุณประชาชนติดตามการปฏิบัติงานของ คมช. บางครั้งเราไม่สามารถทำอะไรได้ 100 % บางครั้งอยากทำตรงนั้นตรงนี้หรืออะไรหลายๆอย่าง เราทำไม่ได้ด้วยสิ่งแวดล้อมและสภาวะแวดล้อมที่มีอยู่ คิดว่าประชาชาชนทุกคนจะเข้าใจว่า สิ่งที่ปฏิบัติมา เราไม่ได้มุ่งหวังอยากจะมีอำนาจ เราพยายามทำในสิ่งที่ดีที่สุด แต่มันทำได้ไม่ 100 % ตามที่ใจมุ่งหวัง สิ่งเหล่านี้จะไปเรียกร้องหรือไปตำหนิใครไม่ได้ หากจะตำหนิขอตำหนิตัวเองที่ไม่สามารถทำได้
เมื่อถามว่า ความรู้สึกของ คมช. ขณะนี้ยังมีความรู้สึกกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เหมือนเดิมหรือไม่ พล.อ.อ.ชลิต ย้อนถามผู้สื่อข่าวถามว่า เหมือนเดิมอย่างไรตอนไหน ผู้สื่อข่าวตอบว่า ตามที่ คมช. ประกาศไว้ตามปัญหาในตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในการบริหารประเทศในการแทรกแซงการทำงาน รวมถึงเหตุผลในการปฏิวัติ 4 ข้อ พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า ไม่ทราบเหมือนกัน เรื่องนี้ต่างคนต่างจิตต่างใจ เมื่อถามว่า แต่ตัวท่านรู้สึกอย่างไร พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า ไม่ขอบอก เมื่อถามว่า ได้มีการติดต่อกับ พ.ต.ท. ทักษิณ บ้างหรือไม่ พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า ไม่ขอบอกอีกเหมือนกัน
เมื่อถามว่า หากรัฐบาลชุดนี้มีปัญหาคอรัปชั่นกองทัพจะเข้ามายึดอำนาจอีกหรือไม่ พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำ เพราะความน่าเชื่อของประเทศ ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยก็พยายามผลักดันประเทศคอมมิวนิสต์ หรือประเทศสังคมนิยมให้เป็นประชาธิปไตย เขาก็พยายามผลักดัน แต่หากเราไม่เป็นประชาธิปไตยก็จะถูกกดดันจากประเทศอื่น ๆ มีผลในเรื่องธุรกิจ การค้าขาย หรือการทำเงินเข้าประเทศ ตรงจุดนั้นทำให้เศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของประชาชนจะแย่ลง เราอาจทำเหมือนเพื่อนบ้านที่ไม่สนใจก็ได้ แต่ไม่เป็นผลดีกับประชาชนและเศรษฐกิจ ดังนั้น เราจะต้องก้าวหน้าต่อไปเพื่อลดระดับช่องว่างระหว่างคนในประเทศให้มีความเป็นอยู่การศึกษา สุขภาพพลานามัยที่ดี
เมื่อถามว่า กลุ่มพันธมิตรประชาชนจะรวมตัวตรวจสอบการทำงานรัฐบาลเกรองเกิดความวุ่นวายหรือไม่ พล.อ.อชลิต กล่าวว่า เราควรทำหน้าที่ของแต่ละคนให้เต็มที่ และช่วยกันประคับประคองให้ประเทศพัฒนาต่อ ส่วนจะถูกใจหรือไม่ถูกใจนั้น เราทุกคนจะได้เห็น ตนหวังว่าทุกคนในประเทศไทยต้องเห็นประโยชน์ของประชาชนทั้งประเทศเป็นหลัก ไม่ว่ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
เมื่อถามว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่าจะไม่ยึดอำนาจหากรัฐบาลบริหารประเทศผิดพลาด พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า คมช.หมดวาระการทำงานตั้งแต่สักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.5 ต่อไปเป็นเรื่องขอผู้นำเหล่าทัพ ตนคงจะไม่วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่อง คมช.อีก ยังมีหนทางปฏิบัติที่จะระงับรัฐบาลได้ คือ สภานิติบัญญัติ โดยสามารถยืนยุติการกระทำหรือยกเลิกบทบาทได้ทั้งสิ้นจากฎหมายที่มีอยู่ ดังนั้น เราจะต้องทำตามเรื่องที่ถูกต้องตามกฎหมาย และให้โอกาสรัฐบาลใหม่ทำงาน
เมื่อถามว่า ทหารจะมีโอกาสรวมตัวกันอีกครั้งหรือเปล่า พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า “เราไม่อยาก แต่การรวมตัวอาจจะไปตีกอล์ฟ” เมื่อถามว่า หาก พ.ต.ท. ทักษิณ กลับมา คมช.พร้อมที่จะให้ความปลอดภัยหรือไม่ พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า ท่านก็มาตามวิถีทางของท่านต้องมาให้ข้อมูลกับศาล เมื่อถามว่า ห่วงหรือไม่ว่าจะมีมือที่มองไม่เห็นมาสั่งการรัฐบาล พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า ทุกคนต้องหวังดีต่อประเทศชาติ
เมื่อถามถึงกระแสข่าว สมาชิก คมช.พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า “ยัง ยัง” เมื่อถามย้ำว่า พล.อ.สนธิ ระบุว่ามีสมาชิก คมช.ท่านอื่นพูดคุยแล้ว พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า “ท่านคุยหรือเปล่า ตนไม่ทราบ” เมื่อถามว่า ส่วนตัวท่านมีการพูดคุยหรือไม่ พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า “ไม่มี” เมื่อถามว่า มีการติดต่อมาหรือไม่ พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า มีเพียงการผ่านข้อมูลมา คือ มีคนฝากข้อมูลคำถามมาเท่านั้น
เมื่อถามว่า เสียใจกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำหรือไม่ พล.อ.อ.ชลิต ตาเริ่มแดงพร้อมมีน้ำตาคลอก่อนตอบว่า “ได้มีโอกาสช่วยเหลือประเทศชาติจากกรณีข้อขัดแย้ง คิดว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ได้ยุติเหตุการณ์” เมื่อถามว่า คมช.ยังรักกันดีอยู่ไม่มีการกินแหนงแคลงใจใช่หรือไม่ พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า แน่นอน ไม่มี เมื่อถามว่า พล.อ.สนธิ ร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วยหรือไม่ เนื่องจากมีชุดรักษาความปลอดภัยของ พล.อ.สนธิ มาด้วย พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า ไม่ได้มา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแถลงยุติบทบาทของ คมช.อย่างเป็นทางการครั้งนี้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน (คมช.)ไม่ได้เดินทางมาร่วมงาน แต่ได้ให้ ร.อ.อิทรายุทธ เจริญไทยพาณิชย์ นายทหารคนสนิทนำของที่ระลึกเป็นคริสตัล แก้วรูปปิรามิด ซื้อกลับจากประเทศอียิปต์ เพื่อมอบให้เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารรุ่น 6 อาทิ พล.อ.อ.ชลิต พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ และพล.อ.วินัย
/0110