ไทยพาณิชย์ยันยังไม่มีการทบทวนแผนการดำเนินงาน แม้ปัจจัยราคาน้ำมันจะพุ่งไม่หยุด แต่ส่วนของแบงก์ยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากการปล่อยสินเชื่อยังไปได้ดีและพื้นฐานของของธนาคารยังมีความแข็งแกร่ง พร้อมส่วนเอ็นพีแอลเตรียมคุมไว้ไม่เกิน 4.95%
นายวิชิต สุรพงษ์ชัย กรรมการและประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เปิดเผยว่า จากที่ราคาน้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้นจนอาจจะกระทบแผนการดำเนินงานที่วางไว้ก่อนหน้านั้น ธนาคารคาดว่าในขณะนี้คงยังไม่มีการทบทวนแผนการดำเนินงานใหม่ แต่คงมีการปรับแผนบางส่วนบ้าง และเชื่อว่าในระยะสั้นคงไม่มีปัญหาอะไรเรื่องแผนการดำเนินงาน
แม้ว่าปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันคือเรื่องของราคาน้ำมันที่ยังคงมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเหมือนที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันตลาดโลกอาจจะทะลุไปที่ 200 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลได้ในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนอย่างแน่นอน โดยดูได้จากธุรกิจการบินภายในประเทศไทยที่มีการร้องเรียนเรื่องต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจนต้องมีการปรับเพิ่มค่าโดยสาย เป็นต้น และในขณะเดียวกันถ้าระดับราคาน้ำมันยังคงปรับขึ้นอย่างนี้เรื่อยๆ จนยากที่จะแก้ไขได้ ก็เชื่อว่าในที่สุดก็จะกลายเป็นปฏิกริยาลูกโซ่ต่อไปในอนาคต โดยสิ่งที่จะเป็นปัญหาตามมาคือเรื่องอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันที่ยังคงอยู่ในระดับสูงเช่นกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องเฝ้าระวังและจับตาดูอย่างใกล้ชิด
สำหรับในแง่ของธนาคารเองนั้น มองว่าไม่น่าจะได้รับผลกระทบที่รุนแรงมากนักจากปัญหาราคาน้ำมันแพง ขณะนี้การทำธุรกิจของธนาคารยังถือว่ายังอยู่ในระดับที่ปกติ การปล่อยสินเชื่อของธนาคารก็ไม่ได้ลดลงอย่างน่าเป็นห่วง ส่วนจำนวนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ก็ไม่มีสัญาณว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งธุรกิจการทำงานของธนาคารนั้นมีหลายอย่าง เช่น ธุรกิจประกัน ธุรกิจบัตรเครดิต ธุรกิจรายย่อย เป็นต้น
ขณะเดียวกันรายได้ของธนาคารก็มาจากค่าธรรมเนียมและอัตราดอกเบี้ย ประกอบกับพื้นฐานของธนาคารก็มีความแข็งแกร่งอยู่แล้วพอที่จะสามารถบริหารต่อไปได้โดยไม่ต้องกังวลกับราคาน้ำมันมากนัก ส่วนเรื่องทิศทางอัตราดอกเบี้ยในครึ่งปีหลังนี้ ธนาคารมองว่าเป็นสิ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ที่จะต้องดูแลอย่างใกล้ชิด จึงยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะมีการปรับขึ้นหรือปรับลงอัตราดอกเบี้ย แต่ในส่วนของธนาคารพาณิชย์นั้นเห็นว่าสภาพคล่องยังดีอยู่
ด้านนางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การปล่อยสินเชื่อในปีนี้จะยังเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 12-15% แม้ว่าการปล่อยสินเชื่อในไตรมาส 2 อาจจะไม่มีการขยายตัวได้ดีเท่ากับในช่วงไตรมาส 1 แต่โดยรวมทั้งปีจะดีกว่าปีก่อนเล็กน้อย เนื่องจากการมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งช่วยมาช่วยสร้างความเชื่อมั่น
"ถ้าเทียบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ปีนี้กับปีที่แล้ว มองว่าปีนี้จะดีกว่าปีที่แล้ว เพราะปีที่แล้วมีความไม่แน่นอนสูง ส่วนแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ของไทยพาณิชย์ ไม่ดีเท่ากับไตรมาสแรกแน่นอน เพราะไตรมาสแรกเราทำได้ดีมาก โดยในไตรมาสแรกโตได้จากการที่สินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น แต่เราไม่สนใจเป็นไตรมาส เราสนใจปีเทียบปีมากกว่า" นางกรรณิการ์ กล่าว
สำหรับรายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารในปีนี้ ธนาคารตั้งเป้าหมายมีรายได้สัดส่วนค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 39-40%จากรายได้รวมทั้งหมด จากปีที่แล้วอยู่ที่ 37% ซึ่งรายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารคงยังไม่ถึง 50% ในเร็วๆนี้ เนื่องจากค่าธรรมเนียมขึ้นปีละ 2% ก็ถือว่ามากแล้ว ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมในช่วงไตรมาสที่ 2 นี้ น่าจะอยู่ที่กว่า 20% ซึ่งจะมาจากรายได้เทรดไฟแนนซ์ ประกัน เป็นต้น อย่างไรก็ตามรายได้ค่าธรรมเนียมในช่วงไตรมาสที่ 2 จะลดลงจากช่วงไตรมาสแรกเนื่องจากมีฐานที่ใหญ่ขึ้น
ขณะเดียวกันส่วนต่างดอกเบี้ยของธนาคารในช่วงไตรมาสที่ 2 ปีนี้ ก็น่าจะลดลงจากช่วงไตรมาสแรกที่อยู่ที่ 3.95% เนื่องจากมีการแข่งขันสูง ประกอบกับธนาคารมีต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นจากการที่ธนาคารออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิจำนวน 20,000 ล้านบาท ให้ดอกเบี้ยสูงสุด 6.25% ซึ่งทำให้ทั้งปีส่วนต่างดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 3.7%
ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)ทั้งปีคาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่าไตรมาสแรกซึ่งอยู่ที่ 4.95% ส่วนหนึ่งมาจากการที่ธนาคารมีแผนจะขายเอ็นพีแอลออกไปประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท โดยเอ็นพีแอลเก่าของธนาคารในขณะนี้ใกล้จะขายหมดแล้ว ที่จะบริหารต่อไปคือส่วนของเอ็นพีแอลใหม่ โดยแนวโน้มเอ็นพีแอลใหม่นั้นมีแนวโน้มสูงขึ้นเล็กน้อย ก็เป็นไปตามสภาพเศรษฐกิจ สำหรับการบริหารเอ็นพีแอลนั้นธนาคารจะเน้นการบริหารด้วยตัวเอง
นายวิชิต สุรพงษ์ชัย กรรมการและประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เปิดเผยว่า จากที่ราคาน้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้นจนอาจจะกระทบแผนการดำเนินงานที่วางไว้ก่อนหน้านั้น ธนาคารคาดว่าในขณะนี้คงยังไม่มีการทบทวนแผนการดำเนินงานใหม่ แต่คงมีการปรับแผนบางส่วนบ้าง และเชื่อว่าในระยะสั้นคงไม่มีปัญหาอะไรเรื่องแผนการดำเนินงาน
แม้ว่าปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันคือเรื่องของราคาน้ำมันที่ยังคงมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเหมือนที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันตลาดโลกอาจจะทะลุไปที่ 200 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลได้ในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนอย่างแน่นอน โดยดูได้จากธุรกิจการบินภายในประเทศไทยที่มีการร้องเรียนเรื่องต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจนต้องมีการปรับเพิ่มค่าโดยสาย เป็นต้น และในขณะเดียวกันถ้าระดับราคาน้ำมันยังคงปรับขึ้นอย่างนี้เรื่อยๆ จนยากที่จะแก้ไขได้ ก็เชื่อว่าในที่สุดก็จะกลายเป็นปฏิกริยาลูกโซ่ต่อไปในอนาคต โดยสิ่งที่จะเป็นปัญหาตามมาคือเรื่องอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันที่ยังคงอยู่ในระดับสูงเช่นกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องเฝ้าระวังและจับตาดูอย่างใกล้ชิด
สำหรับในแง่ของธนาคารเองนั้น มองว่าไม่น่าจะได้รับผลกระทบที่รุนแรงมากนักจากปัญหาราคาน้ำมันแพง ขณะนี้การทำธุรกิจของธนาคารยังถือว่ายังอยู่ในระดับที่ปกติ การปล่อยสินเชื่อของธนาคารก็ไม่ได้ลดลงอย่างน่าเป็นห่วง ส่วนจำนวนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ก็ไม่มีสัญาณว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งธุรกิจการทำงานของธนาคารนั้นมีหลายอย่าง เช่น ธุรกิจประกัน ธุรกิจบัตรเครดิต ธุรกิจรายย่อย เป็นต้น
ขณะเดียวกันรายได้ของธนาคารก็มาจากค่าธรรมเนียมและอัตราดอกเบี้ย ประกอบกับพื้นฐานของธนาคารก็มีความแข็งแกร่งอยู่แล้วพอที่จะสามารถบริหารต่อไปได้โดยไม่ต้องกังวลกับราคาน้ำมันมากนัก ส่วนเรื่องทิศทางอัตราดอกเบี้ยในครึ่งปีหลังนี้ ธนาคารมองว่าเป็นสิ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ที่จะต้องดูแลอย่างใกล้ชิด จึงยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะมีการปรับขึ้นหรือปรับลงอัตราดอกเบี้ย แต่ในส่วนของธนาคารพาณิชย์นั้นเห็นว่าสภาพคล่องยังดีอยู่
ด้านนางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การปล่อยสินเชื่อในปีนี้จะยังเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 12-15% แม้ว่าการปล่อยสินเชื่อในไตรมาส 2 อาจจะไม่มีการขยายตัวได้ดีเท่ากับในช่วงไตรมาส 1 แต่โดยรวมทั้งปีจะดีกว่าปีก่อนเล็กน้อย เนื่องจากการมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งช่วยมาช่วยสร้างความเชื่อมั่น
"ถ้าเทียบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ปีนี้กับปีที่แล้ว มองว่าปีนี้จะดีกว่าปีที่แล้ว เพราะปีที่แล้วมีความไม่แน่นอนสูง ส่วนแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ของไทยพาณิชย์ ไม่ดีเท่ากับไตรมาสแรกแน่นอน เพราะไตรมาสแรกเราทำได้ดีมาก โดยในไตรมาสแรกโตได้จากการที่สินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น แต่เราไม่สนใจเป็นไตรมาส เราสนใจปีเทียบปีมากกว่า" นางกรรณิการ์ กล่าว
สำหรับรายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารในปีนี้ ธนาคารตั้งเป้าหมายมีรายได้สัดส่วนค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 39-40%จากรายได้รวมทั้งหมด จากปีที่แล้วอยู่ที่ 37% ซึ่งรายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารคงยังไม่ถึง 50% ในเร็วๆนี้ เนื่องจากค่าธรรมเนียมขึ้นปีละ 2% ก็ถือว่ามากแล้ว ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมในช่วงไตรมาสที่ 2 นี้ น่าจะอยู่ที่กว่า 20% ซึ่งจะมาจากรายได้เทรดไฟแนนซ์ ประกัน เป็นต้น อย่างไรก็ตามรายได้ค่าธรรมเนียมในช่วงไตรมาสที่ 2 จะลดลงจากช่วงไตรมาสแรกเนื่องจากมีฐานที่ใหญ่ขึ้น
ขณะเดียวกันส่วนต่างดอกเบี้ยของธนาคารในช่วงไตรมาสที่ 2 ปีนี้ ก็น่าจะลดลงจากช่วงไตรมาสแรกที่อยู่ที่ 3.95% เนื่องจากมีการแข่งขันสูง ประกอบกับธนาคารมีต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นจากการที่ธนาคารออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิจำนวน 20,000 ล้านบาท ให้ดอกเบี้ยสูงสุด 6.25% ซึ่งทำให้ทั้งปีส่วนต่างดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 3.7%
ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)ทั้งปีคาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่าไตรมาสแรกซึ่งอยู่ที่ 4.95% ส่วนหนึ่งมาจากการที่ธนาคารมีแผนจะขายเอ็นพีแอลออกไปประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท โดยเอ็นพีแอลเก่าของธนาคารในขณะนี้ใกล้จะขายหมดแล้ว ที่จะบริหารต่อไปคือส่วนของเอ็นพีแอลใหม่ โดยแนวโน้มเอ็นพีแอลใหม่นั้นมีแนวโน้มสูงขึ้นเล็กน้อย ก็เป็นไปตามสภาพเศรษฐกิจ สำหรับการบริหารเอ็นพีแอลนั้นธนาคารจะเน้นการบริหารด้วยตัวเอง